ปีใหม่แล้ว หลายคนคงเริ่มที่จะทำอะไรใหม่ๆ ให้แก่ตัวเอง หรืออาจจะวางแผนออมเงินเพื่อทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ตัวเอง เช่น อาจจะเริ่มเก็บเงินเพื่อทำธุรกิจ หรือลงทุนวางแผนเก็บออมเพื่อสร้างครอบครัว ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีบางคนที่อยากจะเก็บสตางค์ไว้ใช้ในยามฉุกเฉินแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มเก็บอย่างไรดี เราลองมาดูเหล่าดารา คนดังว่าเขามีมุมมองและวิธีการออมอย่างไรบ้าง เพื่ออาจจะเป็นแนวทางดีๆ ให้เราก็เป็นได้
เริ่มกันที่ สาวสองพันปีอย่าง “ต่าย-เพ็ญพักตร์ ศิริกุล” ผู้ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการบันเทิงมากกว่า 30 ปี เธอบอกว่า แม้จะไม่ค่อยได้เก็บออมสักเท่าไหร่ แต่ก็ต้องมีบ้างที่ต้องเก็บ เพราะงานในวงการบันเทิงเป็นงานไม่มั่นคงแน่นอน เราต้องมีการเก็บไว้ใช้บ้างในยามแก่เฒ่า ก็มีฝากประจำไว้แบบไม่ถอนเลยเพื่อเป็นเงินในยามเกษียณอายุ ขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญต่อการทำประกันชีวิต และการทำประกันอาชีพที่เราทำอยู่ ซึ่งการทำประกันชีวิตตรงนี้มันสามารถให้ประโยชน์แก่เราในช่วงที่เราต้องไปหักลดหย่อนภาษีมันก็จะช่วยได้
“ถ้าพูดถึงเรื่องการออมเงิน ต้องบอกว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็น ถ้าจะจับจ่ายอะไรต้องคิดให้ดีๆ ก่อนจ่ายเงินไป เมื่อเกิดเหตุที่จำเป็นต้องใช้มันก็จะมีให้เราได้ใช้เพราะเราเก็บออมไว้เลยมันก็อุ่นใจในระดับหนึ่ง ดังนั้นเราต้องคิดให้ดีๆ ก่อนตัดสินใจจ่ายเงินออกไป ต้องนึกถึงความจำเป็นให้เป็นสิ่งสำคัญ” ต่ายบอก
ด้านหนุ่มมาดเซอร์ “เป้ อารักษ์ อมรศุภศิริ” บอกว่า ภาวะเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในบ้านเราดูเหมือนว่าอะไรหลายอย่างจะปรับขึ้นราคาเพิ่มขึ้น แต่รายได้หรือค่าครองชีพยังคงเท่าเดิม ดังนั้นการใช้จ่ายอะไรก็ตามต้องมีความระมัดระวัง ขณะเดียวกันการลงทุนก็ต้องมีการพิจารณากันอย่างรอบคอบ ข้าวของที่แพงขึ้นกับรายได้ที่ยังคงเท่าเดิมเราต้องคิดให้ดีๆ ก่อนตัดสินใจลงไป
โดยส่วนรายได้ที่เข้ามาในปัจจุบัน ส่วนใหญ่แล้ว “เป้” จะให้คุณพ่อเป็นคนดูแลให้ทั้งหมด เพราะทำงานแทบจะทุกวันไม่มีเวลามานั่งดูหรือจัดสรรว่าจะนำไปลงทุนอะไร ดังนั้นคุณพ่อจะเป็นคนจัดการให้ทั้งสิ้นว่าจะเก็บออมอย่างไร ลงทุนอย่างไร และเราก็เชื่อมั่นในตัวคุณพ่อด้วยว่าจะสามารถจัดการเงินของเราให้ไปในทิศทางที่ดี
“ครอบครัวของผมสอนเสมอว่า มีน้อยก็ต้องใช้น้อย มีมากก็ยิ่งต้องใช้น้อย เพื่อที่ว่าโตขึ้นมาจะได้มีเงินเก็บมีเงินออม ลดภาวะความเสี่ยงด้วย ทุกวันนี้คุณพ่อจะดูแลการจัดการด้านลงทุนและเก็บออมให้ โดยจะแบ่งมาลงทุนในกองทุนรวมที่สามารถลดหย่อนทางภาษีได้ และพันธบัตรรัฐบาล เพราะมองดูแล้วมีความเสี่ยงที่ไม่มากสามารถลงทุนได้” เป้บอก
ตามมาติดๆ กับนางร้ายที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้ “จอย ชลธิชา นวมสุคนธ์” กับบทบาทสาวแอ๊บแบ้ว “หนูรัชนก หรือนกสองหัว” ในเรื่อง“แรงเงา”ที่ใครหลายคนต่างก็หมั่นไส้ไปตามๆ กัน เธอบอกว่า เริ่มทำงานมีรายได้มาตั้งแต่อายุ 14 ปีจากการถ่ายภาพยนตร์ ซึ่งช่วงน้ันไม่ค่อยแบ่งนะคะ เพราะเราทำงานมาตั้งแต่เด็ก เราก็ไม่รู้เรื่องก็ให้คุณแม่ดูแลให้หมดเลย แต่มันก็มีจุดเปลี่ยนเมื่อช่วงหนึ่งของชีวิตคุณแม่ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลจึงต้องนำเงินที่เก็บสะสมไว้มารักษาคุณแม่ ทำให้เราต้องมานับหนึ่งใหม่ และช่วงนั้นก็จะมีงานดีเจเพียงอย่างเดียว แต่ก็โชคดีที่เราไม่ได้ผ่อนบ้าน แต่ผ่อนรถเพราะตอนนั้นอาศัยอยู่กับคุณพ่อ ก็เริ่มรู้สึกตัวว่าชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน คือตอนนั้นเรามองว่าหาใหม่ได้ แต่เราไม่ได้มองว่าเงินมันไม่ได้หาใหม่ได้ แต่ไม่เป็นไรเราคิดว่าเดี๋ยวเราตั้งใจหา เราก็เริ่มมองการเก็บเงินของเราเปลี่ยนไป
โดยเริ่มเข้ามาลงทุนในกองทุนรวม LTF สาเหตุที่ต้องเริ่มลงทุนบ้างเพราะอย่างที่รู้ๆ กันอยู่ว่าผู้หญิงเป็นเพศที่ใช้เงินเก่งมาก ถ้ามีเงินในกระเป๋าก็หมดตลอด เวลาที่เราจะใช้เงินก้อนใหญ่ก็เก็บไว้ลงทุนที่มีความเสี่ยงไม่สูงมาก ก็จะพยายามซื้อกองทุนรวม LTF ทุกปี เมื่อถึงเวลาคือเราสามารถหักภาษีได้ นอกจากนี้ยังมีประกันชีวิตด้วย
“หลังจากคุณแม่เสียมาได้ 6-7 ปี เริ่มมีความคิดวางแผนระยะยาวทางการเงินมากขึ้น เริ่มสร้างเนื้อสร้างตัว เพราะที่ผ่านมายังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ตอนนั้นเราก็ไม่มีงานประจำ มีแต่งานพิธีกรนิดหน่อยไม่ได้เงินก้อนใหญ่อะไร ที่เราสามารถทำได้ก็ซื้อกองทุน LTF ซื้อประกันชีวิต เล็กๆ ก่อนแล้วค่อยซื้อเพิ่ม พอถึงจุดที่งานมากขึ้นในทุกปีนี้ก็เอาเงินไปลงทุน กับสิ่งที่พอใจที่สุดเป็นที่อยู่อาศัยที่ซื้อให้ตัวเอง คือถ้าเราไม่อยู่ที่นี่เราก็เอาไว้ให้เช่าเพื่อสร้างรายได้เสริมให้ตัวเอง”
มาดูกันที่นางเอกร้อยล้าน “หนูนา-หนึ่งธิดา โสภณ” เธอบอกว่า การออมเงินนั้นเริ่มรู้จักมาตั้งแต่เรียนหนังสือชั้นประถม เนื่องจากว่าที่โรงเรียนจะมีสหกรณ์อยู่แล้ว และจะให้นักเรียนทุกคนเปิดบัญชีกับทางโรงเรียนโดยสามารถฝากได้ทุกวัน แล้วแต่ว่าเราจะฝากเท่าไหร่ แต่ส่วนตัวของหนูนาเองจะฝากตกวันละ 5-20 บาท ส่วนที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ก็จะปลูกฝังเรื่องของการออมเงินให้กับเราอยู่แล้ว พอเงินเหลือจากโรงเรียนเราก็จะเก็บเงินสะสมไว้ พอเต็มกระปุกก็นำเงินนั้นไปเข้าบัญชีอีกทีหนึ่ง
“สำหรับรายได้ในปัจจุบันที่เข้ามาจะเก็บเข้าธนาคารส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งจะนำมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดินเก็บสะสมไว้ เพราะมันจะทำให้เรามีกำไรได้ในอนาคต เนื่องจากว่าที่ดินเป็นสิ่งจำเป็นและหลายคนก็ซื้อไว้เก็งกำไร นอกจากนี้แล้ว การทำประกันชีวิตก็เป็นสิ่งสำคัญและเป็นการออมเงินได้ด้วยเช่นกัน เมื่อเรามีประกันชีวิตมันก็ทำให้เราอุ่นใจได้เมื่อเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ในอนาคตอยากลองลงทุนในทองคำบ้าง ซึ่งก็กำลังคิดอยู่เพราะทองคำเป็นของสิ่งหนึ่งที่ราคาเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา เพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ มันก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจและคิดอยู่กับครอบครัว” หนูนา บอก
ขณะที่พระเอกหน้ามนอย่าง“ปอ-ทฤษฎี สหวงษ์” ได้บอกว่า รายได้ทั้งหมดส่วนตัวจะต้องแบ่งออกอย่างเป็นสัดส่วน ถ้าสิ่้งที่หามาได้หมดและเราไม่ออมมันก็จะไม่ได้อะไรเลย โดยผมเองเป็นคนชอบวางแผนระยะยาว เพราะชีวิตเราต้องดำเนินต่อไป เราไม่ใช่ข้าราชการ ดังนั้นเราต้องวางแผนชีวิตเอาไว้ เมื่อเราอายุเยอะๆ ไปแล้วเราจะทำอย่างไร หาเงินจากไหนมาใช้ ซึ่งอายุตอนน้ันเราอาจจะหาเงินไม่ได้เก่งขนาดนั้น ดังน้ันเราต้องมีเงินออมเพื่อให้ชีวิตเรามีอนาคตอยู่ได้อย่างสบาย นอกจากนี้ตัวผมเองยังให้ความสำคัญต่อกองทุนต่างๆ เช่น กองทุนทองคำ หรือกองทุนที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ รวมถึงการออมเพื่อสุขภาพ และการทำประกันชีวิต ซึ่งผมมองว่าทุกอย่างมันมีความจำเป็นถ้าเรามีการวางแผนที่เป็นระบบ**
ส่วน “เบลล์-นันทิตา ฆัมภิรานนท์” สาวประเภทสองสุดสวยจากเวทีประกวด Thailand’s Got Talentเธอบอกว่า เกิดมาในครอบครัวที่ฐานะไม่ได้ร่ำรวยอะไร ต้องหาเลี้ยงตัวเองตั้งแต่อายุ 14 ปี ด้วยการไปเป็นเด็กเสิร์ฟร้านข้าวต้มโต้รุ่งที่จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งถือว่าเป็นการทำงานครั้งแรกของชีวิต รายได้ตกอยู่ประมาณเดือนละ 4,500 บาท ซึ่งถือว่าเราได้เยอะมากจากเด็กเสิร์ฟคนอื่นๆ ที่ได้ประมาณ 3,000 กว่าบาทเท่านั้น เนื่องจากว่าเราเป็นคนขยันและเจ้าของร้านก็ชอบ ในตอนนั้นเรารู้สึกดีใจมากก็นำเงินดังกล่าวมาเป็นค่าเล่าเรียนส่งเสียตัวเองเรียน เพราะที่บ้านคุณพ่อเป็นทหารรายได้น้อย แถมมีหนี้ด้วย เราก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง
“เบลล์จะเห็นความสำคัญของเงินมาก เงินทุกบาทของเบลล์จะมีค่ามาก เพราะเบลล์ลำบากมาก่อน จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยกินไข่ต้มฟองเดียวแล้วแบ่งครึ่งกับคุณแม่กินกันคนละครึ่ง เพราะว่าเราไม่มีสตางค์ เงินเดือนของคุณพ่อก็ติดลบ ดังนั้นจึงทำให้เราต้องเริ่มงานหารายได้เข้ามาช่วยเหลือทางบ้านด้วยและส่งตัวเองเรียนด้วย” เบลล์บอก
ด้านผู้กำกับฝีปากกล้า “พจน์ อานนท์” บอกว่า มีการบริหารเงินออมหรือรายได้แบ่งออกเป็นส่วนๆ ได้แก่ ใช้ส่วนตัวส่วนหนึ่งเป็นค่าใช้จ่าย และแบ่งออกให้คุณพ่อคุณแม่ส่วนหนึ่ง ก็จะใช้วิธีนี้มานานแล้ว และก็ประหยัด อะไรที่มันสุรุ่ยสุร่ายก็ไม่ซื้ออยู่แล้ว ใช้ของเท่าที่จำเป็นกับตัวเรา จะกินอะไรก็กินเพื่ออยู่ไม่ได้อยู่เพื่อกิน ก็ต้องใช้แบบประหยัดๆ ก็สามารถออมได้ นอกจากนี้ก็มีเข้าไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลของรัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้จัดขึ้น เพราะมองว่าสามารถให้ผลตอบแทนที่ดี
“จริงๆ แล้วที่บ้านตอนเด็กๆ ก็ไม่ได้ปลูกฝังเรื่องการออมเงินอย่างใด เพราะที่บ้านไม่ค่อยจะมีสตางค์ใช้ แต่เมื่อเรามีตังค์ก็จะรู้คุณค่าของมันไม่ใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย เพราะเงินทองกว่าจะหามาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย”
พจน์บอกเพิ่มเติมอีกว่า “ช่วงที่ทำงานได้เงินเป็นคร้ังแรกด้วยการเป็นพนักงานขายโฆษณาให้หนังสือฉบับหนึ่ง ก็ได้ค่าคอมม์ด้วย ตกแล้วเดือนๆ หนึ่งได้ประมาณ 14,000 บาท ซึ่งในขณะนั้นถือว่าเยอะมาก เราก็ดีใจ แต่ก็ไม่ได้ใช้จ่ายอะไรฟุ่มเฟือย ก็จะเก็บเงินฝากไว้กับธนาคาร”
“ไม่ว่าเศรษฐกิจจะแย่อย่างไร เราควรที่เก็บเงินไว้ อะไรที่แพงๆ ก็งด เช่น โทรศัพท์แพงๆ มันก็แค่โทรศัพท์ เอาแค่โทร.เข้าโทร.ออกก็ได้ ถึงแม้ว่าโทรศัพท์รุ่นใหม่ๆ จะมีแอปพลิเคชันต่างๆ ให้เล่นมากมาย แต่มันก็แค่สิ่งผ่านๆ ซึ่งถ้าเราไม่มีมันก็ไม่เห็นจะเดือดร้อน ไม่ต้องตามกระแสแฟชั่นจนเกินไป เพราะถ้ามีโทรศัพท์ไอโฟนหรูๆ แต่ไม่มีเงินที่จะกินข้าวก็ไม่จำเป็นที่จะต้องประหยัดในสิ่งที่ไม่ถูกต้องแบบนี้” พจน์บอก
สุดท้าย หนุ่มน้อยรุ่นใหม่ไฟแรง“โยชิ-นิมิต มนัสพล”หนึ่งในสมาชิกวง C-Quint ได้บอกว่า ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจในบ้านดูแล้วข้าวของจะแพง และการลงทุนยังคงมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่ถ้าเรารู้จังหวะถึงการทำธุรกิจว่า ในขณะนั้นสิ่งไหนกำลังเป็นที่นิยมเชื่อว่าธุรกิจน่าจะไปได้รอด เช่นเดียวกับผมทำตอนนี้ โดยมองช่องด้านการทำธุรกิจทีวีที่เกี่ยวกับเคเบิลทีวี ซึ่งขณะนี้มีการบูมเกิดขึ้นมากและการเติบโตก็มีมากขึ้น แต่ถ้าให้เทียบกับต่างประเทศแล้วเขามีความก้าวหน้าด้านนี้ไปมากกว่าหลายเท่า ส่วนในการลงทุนอื่นๆ ผมมองว่าเราต้องมีการสำรวจและความต้องการของลูกค้าว่ามีมากน้อยแค่ไหนก่อนที่จะเริ่มลงทุนเพื่อที่จะได้ไม่เสียทุนไปโดยเปล่าประโยชน์**
“การมีเงินเก็บทำให้เราไม่เสี่ยง เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ อย่างช่วงที่ผ่านมาน้ำท่วมที่บ้านทำธุรกิจเสื้อผ้าส่งออกก็ได้รับผลกระทบ โรงงานหลายโรงงานต้องปิดตัวไป แต่ธุรกิจเสื้อผ้าของพ่อสามารถอยู่ได้เพราะเรามีการวางแผนและเก็บออมเงินไว้กับกำไรที่เคยทำมาก่อนหน้านี้มันก็จะเป็นการวางแผนที่ดี เพราะยิ่งออมเท่าไหร่ก็ยิ่งได้ประโยชน์มากเท่านั้น”