คอลัมน์ Money Tips
โดย วรวรรณ ธาราภูมิ
สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ซื้อ RMF และ LTF ในปีนี้ และมีความกังวลเกี่ยวกับดัชนีหุ้นที่ขึ้นมาสูงเกิน 1,300 จุดในวันนี้ ถ้ามองในกรอบสั้นๆ บางคนก็ว่าแพงแล้ว แต่การลงทุนทั้ง RMF กับ LTF ที่ลงทุนในหุ้นนั้นไม่เหมาะสำหรับคนที่อยากลงทุนสั้นๆ ไม่กี่ปี ที่เหมาะสมแล้วอย่างน้อยต้องลงทุนได้ไม่ต่ำกว่า 5 ปีขึ้นไป
คำว่าหุ้นแพงไปแล้ว หรือคำว่าตอนนี้หุ้นถูกมากเลยน่าลงทุน ล้วนเป็นการพูดโดยรวมๆ ไม่ได้บอกเจาะจงว่าหุ้นตัวไหน เพราะในเวลาที่หุ้นหนึ่งๆ แพง หุ้นอื่นๆ ก็มีราคาถูกได้ ซึ่งเป็นมุมมองรวมๆ ต่อตลาดหุ้นมากกว่า เช่น เขาจะดูว่าดัชนีปรับขึ้นมาแค่ไหน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ มองว่าเป็นการดูในมุมของ Fund Flows ก็ได้
การที่ มาร์ค ฟาเบอร์ บอกว่าตลาดหุ้นไทยในปีหน้าจะปรับตัวขึ้นประมาณ 10-20% นั้น เขาเน้นว่าการปรับขึ้นแค่ 10-20% มันดีกว่าปรับขึ้นมากถึง 50% เพราะหากเด้งพรวดพราดอย่างรวดเร็วในปีหน้าถึง 50% ก็อาจนำไปสู่ปัญหาฟองสบู่ได้ เนื่องจากราคาไปเร็วเกินปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งจะกลายเป็นการเก็งกำไร
อย่างไรก็ตาม ในการลงทุนหุ้นนั้นมีบางค่ายเขาใช้วิธีเลือกหุ้นเป็นรายตัว โดยดูปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก (Bottom Up) อย่างของบัวหลวงเองก็ใช้แนวนี้ โดยเรามองภาพรวมก่อนว่าอนาคตจะไปในทิศทางไหน Megatrend อะไรที่จะเกิดและมีผลบ้าง แล้วจึงมาดูว่าอุตสาหกรรมใดจะได้รับผลดี แล้วจึงไปหาหุ้นเป็นตัวๆ ที่จะเติบโตและมีกำไรไปกับกระแสที่จะเกิดในอนาคต
การคัดเลือกหุ้นโดยมีความชัดเจนใน Investment Theme แบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงได้ เพราะเรามองไปที่ศักยภาพของตัวบริษัทที่จะอยู่รอดและอยู่ได้ดีแม้ตลาดหุ้นมีความผันผวนจนตกลงมาได้ หรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดจนถล่มลงมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งแน่ล่ะ กองทุนหุ้นทั้งหมดก็กระทบไปด้วย แต่มันเป็นช่วงสั้น และเราผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาหลายครั้งจนน่าจะเคยชินแล้ว แต่ก็พิสูจน์ได้ว่าในระยะยาวการคัดเลือกหุ้นด้วยแนวคิดแบบนี้ทำให้การลงทุนคุ้มค่ามาก
เราอยากแนะนำให้เชื่อ ดร.นิเวศน์ที่บอกว่า Stay Calm, Stay Invest คือใจเย็นและลงทุนต่อไป เพียงแต่ต้องระมัดระวังมากขึ้นและไม่หวังผลเลิศในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่กลัวหุ้นหรือรับความเสี่ยงได้น้อยก็ไปลงทุนใน RMF ที่ไม่ลงทุนในหุ้นได้ มีทั้ง RMF ที่เป็น Money Market และที่เป็นตราสารหนี้ หากรับความเสี่ยงได้บ้างเขาก็มี RMF กองผสมที่มีหุ้นน้อยๆ เช่น จะลงทุนในหุ้นไม่เกิน 10%, 20%, 25% เป็นต้น แบบนี้ความเสี่ยงก็จะต่ำกว่าที่ลงทุนในหุ้นได้เต็มๆ
ส่วน LTF นั้นจะอย่างไรก็เป็นกองทุนหุ้น จึงต้องลงทุนในหุ้นไทยไม่ต่ำกว่า 65% โดยเฉลี่ยตามเกณฑ์ หากคุณรับไม่ไหวกลัวหุ้นตกขาดทุนจนนอนไม่หลับ ถ้าเช่นนั้นก็ขอแนะนำว่าอย่าไปลงทุนเลย นำเงินที่เหลือเอาไปซื้อกองทุนปกติทั่วไปที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าก็ได้ มีทั้งตราสารหนี้ พันธบัตร ฯลฯ แต่แน่นอน ผลตอบแทนแม้คาดว่าจะดีกว่าฝากเงินแต่ก็ไม่เท่าหุ้น ก็ต้องทำใจ
โดย วรวรรณ ธาราภูมิ
สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ซื้อ RMF และ LTF ในปีนี้ และมีความกังวลเกี่ยวกับดัชนีหุ้นที่ขึ้นมาสูงเกิน 1,300 จุดในวันนี้ ถ้ามองในกรอบสั้นๆ บางคนก็ว่าแพงแล้ว แต่การลงทุนทั้ง RMF กับ LTF ที่ลงทุนในหุ้นนั้นไม่เหมาะสำหรับคนที่อยากลงทุนสั้นๆ ไม่กี่ปี ที่เหมาะสมแล้วอย่างน้อยต้องลงทุนได้ไม่ต่ำกว่า 5 ปีขึ้นไป
คำว่าหุ้นแพงไปแล้ว หรือคำว่าตอนนี้หุ้นถูกมากเลยน่าลงทุน ล้วนเป็นการพูดโดยรวมๆ ไม่ได้บอกเจาะจงว่าหุ้นตัวไหน เพราะในเวลาที่หุ้นหนึ่งๆ แพง หุ้นอื่นๆ ก็มีราคาถูกได้ ซึ่งเป็นมุมมองรวมๆ ต่อตลาดหุ้นมากกว่า เช่น เขาจะดูว่าดัชนีปรับขึ้นมาแค่ไหน โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ มองว่าเป็นการดูในมุมของ Fund Flows ก็ได้
การที่ มาร์ค ฟาเบอร์ บอกว่าตลาดหุ้นไทยในปีหน้าจะปรับตัวขึ้นประมาณ 10-20% นั้น เขาเน้นว่าการปรับขึ้นแค่ 10-20% มันดีกว่าปรับขึ้นมากถึง 50% เพราะหากเด้งพรวดพราดอย่างรวดเร็วในปีหน้าถึง 50% ก็อาจนำไปสู่ปัญหาฟองสบู่ได้ เนื่องจากราคาไปเร็วเกินปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งจะกลายเป็นการเก็งกำไร
อย่างไรก็ตาม ในการลงทุนหุ้นนั้นมีบางค่ายเขาใช้วิธีเลือกหุ้นเป็นรายตัว โดยดูปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก (Bottom Up) อย่างของบัวหลวงเองก็ใช้แนวนี้ โดยเรามองภาพรวมก่อนว่าอนาคตจะไปในทิศทางไหน Megatrend อะไรที่จะเกิดและมีผลบ้าง แล้วจึงมาดูว่าอุตสาหกรรมใดจะได้รับผลดี แล้วจึงไปหาหุ้นเป็นตัวๆ ที่จะเติบโตและมีกำไรไปกับกระแสที่จะเกิดในอนาคต
การคัดเลือกหุ้นโดยมีความชัดเจนใน Investment Theme แบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงได้ เพราะเรามองไปที่ศักยภาพของตัวบริษัทที่จะอยู่รอดและอยู่ได้ดีแม้ตลาดหุ้นมีความผันผวนจนตกลงมาได้ หรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดจนถล่มลงมาอย่างรวดเร็ว ซึ่งแน่ล่ะ กองทุนหุ้นทั้งหมดก็กระทบไปด้วย แต่มันเป็นช่วงสั้น และเราผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาหลายครั้งจนน่าจะเคยชินแล้ว แต่ก็พิสูจน์ได้ว่าในระยะยาวการคัดเลือกหุ้นด้วยแนวคิดแบบนี้ทำให้การลงทุนคุ้มค่ามาก
เราอยากแนะนำให้เชื่อ ดร.นิเวศน์ที่บอกว่า Stay Calm, Stay Invest คือใจเย็นและลงทุนต่อไป เพียงแต่ต้องระมัดระวังมากขึ้นและไม่หวังผลเลิศในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่กลัวหุ้นหรือรับความเสี่ยงได้น้อยก็ไปลงทุนใน RMF ที่ไม่ลงทุนในหุ้นได้ มีทั้ง RMF ที่เป็น Money Market และที่เป็นตราสารหนี้ หากรับความเสี่ยงได้บ้างเขาก็มี RMF กองผสมที่มีหุ้นน้อยๆ เช่น จะลงทุนในหุ้นไม่เกิน 10%, 20%, 25% เป็นต้น แบบนี้ความเสี่ยงก็จะต่ำกว่าที่ลงทุนในหุ้นได้เต็มๆ
ส่วน LTF นั้นจะอย่างไรก็เป็นกองทุนหุ้น จึงต้องลงทุนในหุ้นไทยไม่ต่ำกว่า 65% โดยเฉลี่ยตามเกณฑ์ หากคุณรับไม่ไหวกลัวหุ้นตกขาดทุนจนนอนไม่หลับ ถ้าเช่นนั้นก็ขอแนะนำว่าอย่าไปลงทุนเลย นำเงินที่เหลือเอาไปซื้อกองทุนปกติทั่วไปที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าก็ได้ มีทั้งตราสารหนี้ พันธบัตร ฯลฯ แต่แน่นอน ผลตอบแทนแม้คาดว่าจะดีกว่าฝากเงินแต่ก็ไม่เท่าหุ้น ก็ต้องทำใจ