บลจ. กสิรกรไทย ยิ้มแก้มปริ หลังนักลงทุนตอบรับกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม แฟคทอรี่แอนด์แวร์เฮ้าส์ ฟันด์ ปิดยอดจองเพียง 3 วัน พิ่มทุนเต็ม 2,142 ล้านบาท
นายอำพล โพธิ์โลหะกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า จากการเปิดจองซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มทุนครั้งที่ 2 ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม แฟคทอรี่แอนด์แวร์เฮ้าส์ ฟันด์ (WHAPF) เมื่อวันที่ 11-13 ธันวาคม 2555 ได้รับการตอบรับจากผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมของกองทุน WHAPF อย่างดียิ่ง ทำให้มียอดจองซื้อหน่วยลงทุนเข้ามาเต็มมูลค่าโครงการ
ทั้งนี้ยอดการจองซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มทุนดังกล่าว ไม่เพียงสะท้อนถึงความไว้วางใจในการบริหารกองทุนของบลจ. หากยังแสดงถึงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนในศักยภาพของทำเลที่กองทุนเตรียมจะขยายการลงทุนในโครงการคลังสินค้า Healthcare บนถนนบางนา-ตราด ซึ่งเป็นคลังสินค้าปรับอากาศพร้อมระบบควบคุมอุณหภูมิที่ได้มาตรฐานสากลเหมาะสำหรับการจัดเก็บเวชภัณฑ์ และคลังสินค้าโครงการ Kao 3 ในจังหวัดชลบุรี
โดยกองทุนดังกล่าว ปัจจุบันมีจำนวนเงินทุนโครงการ 3,110 ล้านบาท และภายหลังดำเนินการเพิ่มทุนครั้งที่ 2 นี้แล้วจะส่งผลให้กองทุนมีขนาดเพิ่มเป็น 5,252 ล้านบาท ปัจจุบันมีการลงทุนในอาคารคลังสินค้าและอาคารโรงงานรวม 7 โครงการ ได้แก่ โครงการคลังสินค้า Kao 1 และโครงการคลังสินค้า Kao 2 ในพื้นที่ใกล้เคียงกับนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี พร้อมด้วย อาคารคลังสินค้า DKSH (หรือดีทแฮล์มเดิม) จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการคลังสินค้า DKSH ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โครงการคลังสินค้า DKSH Consumer และโครงการคลังสินค้า DKSH 3M บริเวณ ถ. บางนา-ตราด กม.20 (ใกล้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) และโครงการโรงงานอีก 2 โครงการ คือ โครงการโรงงาน Primus และโครงการโรงงาน Ducati ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ. ระยอง ซึ่งภายหลังจากดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนครั้งที่ 2 แล้ว กองทุนจะขยายการลงทุนไปในสินทรัพย์เพิ่มเติมอีก 2 โครงการ คือ โครงการคลังสินค้า Healthcare บนถนนบางนา-ตราด ขนาดประมาณ 52,700 ตารางเมตร และโครงการคลังสินค้า Kao 3 ในพื้นที่ใกล้เคียงกับนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ. ชลบุรี ขนาดประมาณ 16,800 ตารางเมตร นับตั้งแต่จัดตั้งโครงการในปี 2553 เป็นต้นมา กองทุนมีรายได้อย่างสม่ำเสมอจากค่าเช่าอาคารคลังสินค้าและอาคารโรงงานทั้ง 12 โครงการข้างต้น มีการประกาศจ่ายเงินปันผลแล้วทั้งสิ้น 7 ครั้ง อัตราการจ่ายปันผลรวมทั้งสิ้น 1.3492 บาทต่อหน่วย คิดเป็นการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานในรอบระหว่างปี 2554-2555 ครบทั้ง 4 ครั้ง รวมเป็นจำนวนเงินปันผลทั้งสิ้น 0.7241 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน เฉลี่ยประมาณ 7.22 % ต่อปี
นายอำพล โพธิ์โลหะกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า จากการเปิดจองซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มทุนครั้งที่ 2 ของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม แฟคทอรี่แอนด์แวร์เฮ้าส์ ฟันด์ (WHAPF) เมื่อวันที่ 11-13 ธันวาคม 2555 ได้รับการตอบรับจากผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมของกองทุน WHAPF อย่างดียิ่ง ทำให้มียอดจองซื้อหน่วยลงทุนเข้ามาเต็มมูลค่าโครงการ
ทั้งนี้ยอดการจองซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มทุนดังกล่าว ไม่เพียงสะท้อนถึงความไว้วางใจในการบริหารกองทุนของบลจ. หากยังแสดงถึงความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนในศักยภาพของทำเลที่กองทุนเตรียมจะขยายการลงทุนในโครงการคลังสินค้า Healthcare บนถนนบางนา-ตราด ซึ่งเป็นคลังสินค้าปรับอากาศพร้อมระบบควบคุมอุณหภูมิที่ได้มาตรฐานสากลเหมาะสำหรับการจัดเก็บเวชภัณฑ์ และคลังสินค้าโครงการ Kao 3 ในจังหวัดชลบุรี
โดยกองทุนดังกล่าว ปัจจุบันมีจำนวนเงินทุนโครงการ 3,110 ล้านบาท และภายหลังดำเนินการเพิ่มทุนครั้งที่ 2 นี้แล้วจะส่งผลให้กองทุนมีขนาดเพิ่มเป็น 5,252 ล้านบาท ปัจจุบันมีการลงทุนในอาคารคลังสินค้าและอาคารโรงงานรวม 7 โครงการ ได้แก่ โครงการคลังสินค้า Kao 1 และโครงการคลังสินค้า Kao 2 ในพื้นที่ใกล้เคียงกับนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี พร้อมด้วย อาคารคลังสินค้า DKSH (หรือดีทแฮล์มเดิม) จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ โครงการคลังสินค้า DKSH ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โครงการคลังสินค้า DKSH Consumer และโครงการคลังสินค้า DKSH 3M บริเวณ ถ. บางนา-ตราด กม.20 (ใกล้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ) และโครงการโรงงานอีก 2 โครงการ คือ โครงการโรงงาน Primus และโครงการโรงงาน Ducati ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จ. ระยอง ซึ่งภายหลังจากดำเนินการจดทะเบียนเพิ่มทุนครั้งที่ 2 แล้ว กองทุนจะขยายการลงทุนไปในสินทรัพย์เพิ่มเติมอีก 2 โครงการ คือ โครงการคลังสินค้า Healthcare บนถนนบางนา-ตราด ขนาดประมาณ 52,700 ตารางเมตร และโครงการคลังสินค้า Kao 3 ในพื้นที่ใกล้เคียงกับนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ. ชลบุรี ขนาดประมาณ 16,800 ตารางเมตร นับตั้งแต่จัดตั้งโครงการในปี 2553 เป็นต้นมา กองทุนมีรายได้อย่างสม่ำเสมอจากค่าเช่าอาคารคลังสินค้าและอาคารโรงงานทั้ง 12 โครงการข้างต้น มีการประกาศจ่ายเงินปันผลแล้วทั้งสิ้น 7 ครั้ง อัตราการจ่ายปันผลรวมทั้งสิ้น 1.3492 บาทต่อหน่วย คิดเป็นการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานในรอบระหว่างปี 2554-2555 ครบทั้ง 4 ครั้ง รวมเป็นจำนวนเงินปันผลทั้งสิ้น 0.7241 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน เฉลี่ยประมาณ 7.22 % ต่อปี