บลจ.กสิกรไทยแนะ 3 กองทุนเด่นหักภาษีโค้งสุดท้ายของปี ชูจุดเด่นระยะยาวผลตอบแทนเยี่ยมย้อนหลัง 5 ปีฟันกำไรสูงสุด 21.38% แนะนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ใช้วิธีเฉลี่ยต้นทุนเป็นหลัก ส่วนนักลงทุนที่ไม่มีเวลาติดตามให้ลงทุนในกองทุนผสมแทนเพราะมีมืออาชีพคอยดูแลให้
นายอำพล โพธิ์โลหะกุล ประธานกรรมการบริหารบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า การลงทุนที่สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีบริษัทอยากนำเสนอให้ลงทุนในกองทุนที่มีผลงานโดดเด่นที่บริษัทบริหารอยู่ 3 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค หุ้นระยะยาว (KEQLTF), กองทุนเปิด เค หุ้นระยะยาวปันผล (KDLTF) และกองทุนเปิดเคหุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ(KEQRMF)
สำหรับกองทุนทั้งหมดจะเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทชั้นนำในประเทศที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีสภาพคล่องสูง และกระจายการลงทุนไปในหลายอุตสาหกรรม เพราะเชื่อว่าผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มากจะสามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีได้
ปัจจุบันพอร์ตของกองทุนดังกล่าวได้ให้น้ำหนักในหุ้นที่ได้รับผลประโยชน์จากการบริโภคภายในประเทศ และการลงทุนของภาครัฐเป็นหลัก เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารพาณิชย์ สื่อและสิ่งพิมพ์ สื่อสาร อาหารและเครื่องดื่ม ก่อสร้าง และปิโตรเคมี เป็นต้น
ทั้งนี้ ถ้าพิจารณาในระยะสั้นทั้ง 3 กองทุนอาจผันผวนบ้างเนื่องจากสไตล์การบริหารพอร์ตการลงทุนของบริษัทเน้นการลงทุนในระยะยาวจากปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก ปัจจัยระยะสั้นต่อภาวะตลาดจึงไม่ได้ส่งผลต่อการปรับพอร์ตการลงทุน แต่หากพิจารณาในแง่ผลตอบแทนระยะยาวประมาณ 3-5 ปี ซึ่งเป็นโจทย์ใหญ่ของการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว และกองทุนเพื่อการเลี้ยงชีพในภาพรวม ก็จะเห็นว่าผลตอบแทนของทั้ง 3 กองทุนสามารถเอาชนะดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานของกองทุนได้อย่างสม่ำเสมอ
โดยผลการดำเนินงานย้อนหลังในระยะ 3 และ 5 ปี กองทุนเปิดเคหุ้นระยะยาวสร้างผลตอบแทน 20.74% และ 8.87% กองทุนเปิดเคหุ้นระยะยาวปันผลทำได้ 21.38% และ 9.98% ส่วนกองทุนเปิดเค หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพได้ 20.48% และ 8.98% เมื่อเทียบกับ SET Index 19.93% และ 7.89%
นายอำพลเปิดเผยอีกว่า นอกจาก 3 กองทุนข้างต้นแล้ว การลงทุนในกองทุนเปิดเค โกลด์เพื่อการเลี้ยงชีพ (KGDRMF) ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากแนวโน้มราคาทองคำในระยะยาวยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นอีก โดยได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการ QE3 ประกอบกับการที่ธนาคารกลางทั่วโลกต่างพร้อมใจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาเพิ่มสภาพคล่องในตลาดเป็นจำนวนมาก ในช่วงนี้ถือเป็นจังหวะที่ทยอยสะสมได้
ส่วนผู้ลงทุนที่ไม่ชอบความผันผวนจากหุ้นและไม่ต้องการรับความเสี่ยงในการลงทุนมากนักก็สามารถเลือกลงทุนกับกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ระยะสั้นเพื่อการเลี้ยงชีพ(KSRMF) ซึ่งให้โอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากธนาคาร เหมาะเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ หรือผู้ลงทุนที่ต้องการพักเงินเพื่อรอจังหวะสับเปลี่ยนไปยังกองทุน RMF อื่นๆ
นายอำพลกล่าวอีกว่า แนวทางการลงทุนที่บริษัทแนะนำจะสามารถแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่มแรกผู้ลงทุนที่พร้อมจะลงทุนระยะยาวในหุ้น หรือทองคำเพื่อทยอยสะสมกำไรขอแนะนำให้จับจังหวะที่จะเข้าซื้อเมื่อราคาลดต่ำลง หรือใช้วิธีเฉลี่ยต้นทุน (Dollar Cost Average) โดยหักบัญชีเงินฝากเข้าซื้อกองทุน LTF-RMF
กลุ่มที่สอง ผู้ลงทุนที่เห็นว่าหุ้นมีโอกาสสร้างกำไรได้สูงแต่เข้าใจดีว่ามีขึ้นมีลง และไม่มีเวลาติดตามแนะนำให้ลงทุนในกองทุน RMF ที่เป็นกองทุนผสม ซึ่งมีผู้จัดการกองทุนจับจังหวะการทำกำไรในหุ้นและตราสารหนี้ให้แทน และกลุ่มที่สาม สำหรับผู้ลงทุนที่มองเห็นความผันผวนของสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างหุ้นหรือทองคำ ซึ่งเห็นโอกาสในการทำกำไร มีเวลาติดตามและสามารถจัดเงินลงทุนของตัวเองได้พอสมควร แนะนำให้เริ่มต้นจากการลงทุนตามจังหวะการขึ้นลงของตลาด เมื่อราคาหุ้นหรือทองคำตกก็เข้าไปซื้อหากได้กำไรถึงจุดที่พอใจแล้วก็โยกย้ายเงินลงทุนไปกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า เช่น กองทุน RMF ตราสารหนี้ หรือตลาดเงิน
กองทุน RMF-LTF ของ บลจ.กสิกรไทย
กองทุน RMF ของ บลจ.กสิกรไทยมี 7 กองทุน ประกอบด้วย 1. กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ระยะสั้นเพื่อการเลี้ยงชีพ 2. กองทุนเปิดเคพันธบัตรเพื่อการเลี้ยงชีพ 3. กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้เพื่อการเลี้ยงชีพ 4. กองทุนเปิดเคบาลานซ์เพื่อการเลี้ยงชีพ 5. กองทุนเปิดเค หุ้นทุนบริพัตรเพื่อการเลี้ยงชีพ 6. กองทุนเปิดเค หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ 7. กองทุนเปิดเคโกลด์เพื่อการเลี้ยงชีพ
กองทุน LTF มี 5 กองทุน ประกอบด้วย 1. กองทุนเปิดเค70:30 หุ้นระยะยาวปันผล 2. กองทุนเปิดเคหุ้นระยะยาวปันผล 3. กองทุนเปิดเคหุ้นระยะยาว 4. กองทุนเปิดเค โกรทหุ้นระยะยาวปันผล 5. กองทุนเปิดเค 20 ซีเล็คท์หุ้นระยะยาวปันผล