บลจ.กรุงศรี เผยยอดขายกองทุนของบริษัทในงาน SET in the City 2012 ที่ผ่านมาสูงถึง 1 ใน 3 ของยอดเงินลงทุนในกองทุนรวมภายในงาน โดยเฉพาะกองทุน KFLTFDIV ที่ผู้ลงทุนให้ความสนใจลงทุนอย่างล้นหลาม และในเดือน ธ.ค. บริษัทจะเข้าร่วมการออกบูธในงาน Thailand Smart Money และ งานมหกรรมลดภาษีนาทีสุดท้ายซึ่งจะจัดขึ้นที่เซ็นทรัลเวิลด์ เพื่อให้บริการแก่นักลงทุนที่ยังต้องการลงทุนในกองทุนดังกล่าว
นายฉัตรพี ตันติเฉลิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด(บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยว่า “บริษัทประสบความสำเร็จจากการออกบูธงาน SET in the City 2012 ที่ผ่านมา โดยได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก มีลูกค้ามาทำธุรกรรมกับบริษัทภายในงานจำนวนกว่า 2,000 ราย และมีมูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 115 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของยอดขายกองทุนรวมทั้งหมดภายในงาน โดยนักลงทุนให้ความสนใจลงทุนในกองทุน LTF และ RMF เป็นพิเศษ
กองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นระยะยาวปันผล (KFLTFDIV) ถือเป็นกองทุนดาวเด่นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม ส่งผลให้กองทุนมีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆของอุตสาหกรรม เนื่องจากมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างต่อเนื่อง มีระดับความเสี่ยงที่เหมาะสมและจ่ายเงินปันผลได้อย่างสม่ำเสมอ ล่าสุดบริษัทได้จ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนเมื่อวันที่ 22 พ.ย. ที่ผ่านมาเป็นมูลค่ารวมกว่า 411ล้านบาท กองทุน KFLTFDIV เป็นกองทุนที่ได้รับรางวัลกองทุนรวมหุ้นระยะยาวยอดเยี่ยมปี 2010 และปี 2012 จากนิตยสาร Money & Wealth ซึ่งใช้เกณฑ์การพิจารณาของMorningstar และเป็นกองทุนที่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีย้อนหลัง 3 ปีและ 5 ปี สูงสุดในกลุ่มกองทุนรวมหุ้นระยะยาวทั้งหมดในประเทศไทย โดยผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีย้อนหลัง3 ปีอยู่ที่ 35.93% ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 23.75% ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีย้อนหลัง 5 ปีอยู่ที่ 17.51% ดัชนีตลาดหลักทรัพย์อยู่ที่ 7.44%(ข้อมูลจาก Morningstar ณ วันที่ 31 ต.ค. 55)
ผู้ลงทุนที่ยังไม่ได้ซื้อกองทุนดังกล่าวหรือต้องการลงทุนเพิ่มควรเข้าลงทุนก่อนช่วงปลายเดือน ธ.ค. เนื่องจากช่วงปลายเดือนธ.ค. ถือเป็นโค้งสุดท้ายของการลงทุนในกองทุน LTF และ RMF เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี จึงมีเม็ดเงินจำนวนมากที่เข้ามาลงทุนในกองทุน LTF-RMF ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนควรพิจารณาลงทุนในกองทุนที่มีนโยบายการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเอง กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่ตนเองสามารถรับได้ และลงทุนให้เต็มสิทธิลดหย่อนภาษีที่ตนเองได้รับทั้งในส่วนของกองทุน LTFและRMF แต่ไม่ควรลงทุนเกินสิทธิเนื่องจากกำไรส่วนเกินจะต้องนำไปคำนวณรวมเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษี รวมทั้งควรพิจารณาผลการดำเนินงานย้อนหลังของกองทุนอย่างน้อย 3 - 5 ปี โดยกองทุนที่ดีควรมีผลการดำเนินงานที่ดีอย่างสม่ำเสมอ
“สำหรับภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยบริษัทยังคงมีมุมมองเชิงบวก เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนหลายประการทั้งในส่วนของการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศที่แข็งแกร่ง และจากเม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้าประเทศตลาดเกิดใหม่ และการที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับต่ำส่งผลให้การลงทุนในตลาดหุ้นได้รับความสนใจมากขึ้นและได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่องเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆในภูมิภาค ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย” นายฉัตรพี กล่าว