General News
• ผลสำรวจความเห็นจากนักลงทุนทั่วโลก 862 คนจากบลูมเบิร์ก ระบุว่า นักลงทุน 2 ใน 3 คาดว่า เศรษฐกิจโลกจะมีเสถียรภาพหรือฟื้นตัวขึ้นใน 18 เดือนข้างหน้า เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อนที่มีเพียง 1 ใน 2 ที่มีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโลก โดยนักลงทุนส่วนใหญ่คา
ดว่า เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น และสหรัฐจะสามารถหลีกเลี่ยง Fiscal Cliff ได้สำเร็จ
• จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของเยอรมนีในเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 5,000 คน แตะระดับ 2.94 ล้านคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 6.9% คงที่จากเดือนก่อน โดยจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 หลังจากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซนทำให้ภาคเอกชนเยอรมนีชะลอการลงทุนออกไป
• ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจภาคการผลิตของอิตาลีในเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้นแตะระดับ 88.5 จากระดับ 87.8 ในเดือนก่อน จากแนวโน้มการผลิตที่ดีขึ้น แม้ว่าคำสั่งซื้อจะหดตัวลง
• อิตาลีสามารถขายพันธบัตรได้มูลค่ารวม 5.9 พันล้านยูโรด้วยอัตราผลตอบแทนที่ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี โดยสามารถขายพันธบัตรอายุ 10 ปี มูลค่า 2.9 พันล้านยูโร ที่อัตราผลตอบแทน 4.45% จากระดับ 4.92% ในการประมูลเดือนก่อน และขายพันธบัตรอายุ 5 ปี มูลค่า 3 พันล้านยูโร ที่อัตราผลตอบแทน 3.23% จากระดับ 3.8% ในการประมูลเดือนก่อน
• กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า GDP ในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวที่ 2.7% เป็นการขยายตัวในอัตราสูงที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี และสูงกว่าการประมาณการครั้งแรกที่ 2.0% ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของสต็อกสินค้าคงคลัง และการส่งออกที่ขยายตัวขึ้น ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของเศรษฐกิจขยายตัวเพียง 1.4% ลดลงจากการประมาณการครั้งแรกที่ 2.0%
• จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐในรอบสัปดาห์วันที่ 24 พ.ย.ปรับลดลง 23,000 ราย มาอยู่ที่ 393,000 ราย เป็นการลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกันหลังจากช่วงก่อนหน้าได้เพิ่มขึ้นจากผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนแซนดี้ที่ทำให้การดำเนินธุรกิจต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว
• ยอดขายบ้านใหม่ของออสเตรเลียในเดือนต.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.4% จาก -3.7% ในเดือนก่อน โดยมียอดขายอาคารที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 31.4% แต่ยอดขายบ้านเดี่ยวยังคงหดตัว 2% ซึ่งถือเป็นการหดตัวครั้งที่ 5 ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา
• ยอดค้าปลีกของญี่ปุ่นในเดือนต.ค.หดตัวลง 1.2% จากการขยายตัว 0.4% ในเดือนก่อน เป็นผลมาจากมาตรการอุดหนุนการซื้อรถยนต์ประหยัดพลังงานของภาครัฐที่หมดอายุลง และการจ้างงานที่ได้รับผลกระทบจากความต้องการในต่างประเทศที่ชะลอตัวลง อีกทั้งยังมีแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่กำลังจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 16 ธ.ค.นี้
• จำนวนการผลิตรถยนต์ของบริษัทญี่ปุ่นในจีนปรับลดลง 44-66% ในเดือนต.ค. เป็นผลมาจากกระแสการต่อต้านญี่ปุ่นจากประเด็นข้อพิพาทหมู่เกาะเตียวหยู โดยการผลิตของโตโยต้าลดลง 61% มาอยู่ที่ 30,591 คัน ฮอนด้าลดลง 54% อยู่ที่ 26,302 คัน และนิสสันลดลง 44% อยู่ที่ 61,360 คัน
• สมาชิกกรรมการบริหารธนาคารกลางญี่ปุ่น เตือนว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะขาลง จากผลกระทบของความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจในต่างประเทศ และการปรับขึ้นภาษีของภาครัฐ ทั้งนี้ ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับปัญหาประชากรที่สูงวัยทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นไปได้อย่างช้าในระยะยาว ทำให้เชื่อว่า ญี่ปุ่นจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการเติบโตในอนาคต
• ศูนย์วิจัยของธนาคารไทยพาณิชย์ประเมินว่า GDP ไทยในปี 2012 จะขยายตัวที่ระดับ 5.3% จากปัจจัยกดดันด้านการส่งออกที่จะขยายตัวเพียง 4% จากผลกระทบของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งยังส่งผลกระทบต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลงตามไปด้วย ขณะที่การลงทุนจากภาครัฐยังอยู่ในระดับต่ำจากการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า ขณะที่ในปี 2013 คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัว 4.6% จากการบริโภคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และการใช้จ่ายภาครัฐจะเข้ามาช่วยกระตุ้นการบริโภคในช่วงครึ่งปีหลัง
• สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) คงประมาณการณ์ขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีนี้ไว้ที่ 5.5% และ 5.2% ในปีหน้า โดยคาดว่า เศรษฐกิจในไตรมาส 4 จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10% จากฐานที่ต่ำในปีก่อน ขณะที่การส่งออกในปีนี้จะเติบโตได้ 4.5-5% และ 10.2% ในปีหน้าจากแนวโน้มเศรษฐกิจต่างประเทศที่เริ่มดีขึ้นโดยเฉพาะสหรัฐที่มีการประนีประนอมระหว่าง 2 พรรคการเมืองเพื่อแก้ปัญหา Fiscal Cliff ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐสามารถฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในปีหน้า
• ผอ.สศค. เปิดเผยว่า จะนำพ.ร.บ.กู้เงินเพื่อการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน วงเงิน 2.0 ล้านล้านบาท เสนอต่อครม.ในเดือนธ.ค. โดยคาดว่า จะไม่ใช่การกู้เงินทั้งจำนวนแต่จะเป็นการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน(PPP) ซึ่งต้องสอดคล้องกับกฏหมายการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาฯ และคาดว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯได้ในต้นปีหน้า
Equity Market
• SET Index ปิดที่ 1,309.57 จุด เพิ่มขึ้น 9.63 จุด หรือ +0.74% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 41,355 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 293.29 ล้านบาท โดยตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดในภูมิภาคหลังจากประธานาธิบดีและประธานสภาผู้แทนฯ ของสหรัฐออกมาแสดงความเชื่อมั่นว่า จะสามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะ Fiscal Cliff ได้ก่อนสิ้นปี ทำให้นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลต่อประเด็นดังกล่าว
Fixed Income Market
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง +0.01% ถึง +0.05% โดยเป็นการปรับขึ้นอย่างชัดเจนในพันธบัตรอายุ 5-10 ปี สำหรับวันนี้มีการประมูลพันธบัตรธปท. อายุ 14 วัน มูลค่า 40,000 ล้านบาท
• ผลสำรวจความเห็นจากนักลงทุนทั่วโลก 862 คนจากบลูมเบิร์ก ระบุว่า นักลงทุน 2 ใน 3 คาดว่า เศรษฐกิจโลกจะมีเสถียรภาพหรือฟื้นตัวขึ้นใน 18 เดือนข้างหน้า เพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งก่อนที่มีเพียง 1 ใน 2 ที่มีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโลก โดยนักลงทุนส่วนใหญ่คา
ดว่า เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น และสหรัฐจะสามารถหลีกเลี่ยง Fiscal Cliff ได้สำเร็จ
• จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของเยอรมนีในเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 5,000 คน แตะระดับ 2.94 ล้านคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 6.9% คงที่จากเดือนก่อน โดยจำนวนผู้ว่างงานเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 หลังจากภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซนทำให้ภาคเอกชนเยอรมนีชะลอการลงทุนออกไป
• ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจภาคการผลิตของอิตาลีในเดือนพ.ย.เพิ่มขึ้นแตะระดับ 88.5 จากระดับ 87.8 ในเดือนก่อน จากแนวโน้มการผลิตที่ดีขึ้น แม้ว่าคำสั่งซื้อจะหดตัวลง
• อิตาลีสามารถขายพันธบัตรได้มูลค่ารวม 5.9 พันล้านยูโรด้วยอัตราผลตอบแทนที่ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี โดยสามารถขายพันธบัตรอายุ 10 ปี มูลค่า 2.9 พันล้านยูโร ที่อัตราผลตอบแทน 4.45% จากระดับ 4.92% ในการประมูลเดือนก่อน และขายพันธบัตรอายุ 5 ปี มูลค่า 3 พันล้านยูโร ที่อัตราผลตอบแทน 3.23% จากระดับ 3.8% ในการประมูลเดือนก่อน
• กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า GDP ในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวที่ 2.7% เป็นการขยายตัวในอัตราสูงที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี และสูงกว่าการประมาณการครั้งแรกที่ 2.0% ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของสต็อกสินค้าคงคลัง และการส่งออกที่ขยายตัวขึ้น ขณะที่การใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของเศรษฐกิจขยายตัวเพียง 1.4% ลดลงจากการประมาณการครั้งแรกที่ 2.0%
• จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐในรอบสัปดาห์วันที่ 24 พ.ย.ปรับลดลง 23,000 ราย มาอยู่ที่ 393,000 ราย เป็นการลดลงเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกันหลังจากช่วงก่อนหน้าได้เพิ่มขึ้นจากผลกระทบของพายุเฮอร์ริเคนแซนดี้ที่ทำให้การดำเนินธุรกิจต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว
• ยอดขายบ้านใหม่ของออสเตรเลียในเดือนต.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.4% จาก -3.7% ในเดือนก่อน โดยมียอดขายอาคารที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 31.4% แต่ยอดขายบ้านเดี่ยวยังคงหดตัว 2% ซึ่งถือเป็นการหดตัวครั้งที่ 5 ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา
• ยอดค้าปลีกของญี่ปุ่นในเดือนต.ค.หดตัวลง 1.2% จากการขยายตัว 0.4% ในเดือนก่อน เป็นผลมาจากมาตรการอุดหนุนการซื้อรถยนต์ประหยัดพลังงานของภาครัฐที่หมดอายุลง และการจ้างงานที่ได้รับผลกระทบจากความต้องการในต่างประเทศที่ชะลอตัวลง อีกทั้งยังมีแรงกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่กำลังจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 16 ธ.ค.นี้
• จำนวนการผลิตรถยนต์ของบริษัทญี่ปุ่นในจีนปรับลดลง 44-66% ในเดือนต.ค. เป็นผลมาจากกระแสการต่อต้านญี่ปุ่นจากประเด็นข้อพิพาทหมู่เกาะเตียวหยู โดยการผลิตของโตโยต้าลดลง 61% มาอยู่ที่ 30,591 คัน ฮอนด้าลดลง 54% อยู่ที่ 26,302 คัน และนิสสันลดลง 44% อยู่ที่ 61,360 คัน
• สมาชิกกรรมการบริหารธนาคารกลางญี่ปุ่น เตือนว่า เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับภาวะขาลง จากผลกระทบของความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจในต่างประเทศ และการปรับขึ้นภาษีของภาครัฐ ทั้งนี้ ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับปัญหาประชากรที่สูงวัยทำให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นไปได้อย่างช้าในระยะยาว ทำให้เชื่อว่า ญี่ปุ่นจำเป็นต้องปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อกระตุ้นการเติบโตในอนาคต
• ศูนย์วิจัยของธนาคารไทยพาณิชย์ประเมินว่า GDP ไทยในปี 2012 จะขยายตัวที่ระดับ 5.3% จากปัจจัยกดดันด้านการส่งออกที่จะขยายตัวเพียง 4% จากผลกระทบของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งยังส่งผลกระทบต่อการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลงตามไปด้วย ขณะที่การลงทุนจากภาครัฐยังอยู่ในระดับต่ำจากการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า ขณะที่ในปี 2013 คาดว่า เศรษฐกิจจะขยายตัว 4.6% จากการบริโภคภาคเอกชนที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และการใช้จ่ายภาครัฐจะเข้ามาช่วยกระตุ้นการบริโภคในช่วงครึ่งปีหลัง
• สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) คงประมาณการณ์ขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีนี้ไว้ที่ 5.5% และ 5.2% ในปีหน้า โดยคาดว่า เศรษฐกิจในไตรมาส 4 จะขยายตัวไม่ต่ำกว่า 10% จากฐานที่ต่ำในปีก่อน ขณะที่การส่งออกในปีนี้จะเติบโตได้ 4.5-5% และ 10.2% ในปีหน้าจากแนวโน้มเศรษฐกิจต่างประเทศที่เริ่มดีขึ้นโดยเฉพาะสหรัฐที่มีการประนีประนอมระหว่าง 2 พรรคการเมืองเพื่อแก้ปัญหา Fiscal Cliff ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐสามารถฟื้นตัวชัดเจนขึ้นในปีหน้า
• ผอ.สศค. เปิดเผยว่า จะนำพ.ร.บ.กู้เงินเพื่อการลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐาน วงเงิน 2.0 ล้านล้านบาท เสนอต่อครม.ในเดือนธ.ค. โดยคาดว่า จะไม่ใช่การกู้เงินทั้งจำนวนแต่จะเป็นการร่วมลงทุนกับภาคเอกชน(PPP) ซึ่งต้องสอดคล้องกับกฏหมายการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาฯ และคาดว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯได้ในต้นปีหน้า
Equity Market
• SET Index ปิดที่ 1,309.57 จุด เพิ่มขึ้น 9.63 จุด หรือ +0.74% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 41,355 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 293.29 ล้านบาท โดยตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดในภูมิภาคหลังจากประธานาธิบดีและประธานสภาผู้แทนฯ ของสหรัฐออกมาแสดงความเชื่อมั่นว่า จะสามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะ Fiscal Cliff ได้ก่อนสิ้นปี ทำให้นักลงทุนเริ่มคลายความกังวลต่อประเด็นดังกล่าว
Fixed Income Market
• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วง +0.01% ถึง +0.05% โดยเป็นการปรับขึ้นอย่างชัดเจนในพันธบัตรอายุ 5-10 ปี สำหรับวันนี้มีการประมูลพันธบัตรธปท. อายุ 14 วัน มูลค่า 40,000 ล้านบาท