■กลุ่มเจ้าหนี้ของกรีซประสบความล้มเหลวเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกันในการหาทางบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับแนวทางการลดหนี้ของกรีซลง ส่งผลให้ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือฉุกเฉินให้แก่กรีซ และจะจัดการประชุมอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 26 พ.ย.นี้ ทั้งนี้ เอกสารที่เตรียมสำหรับการประชุมระบุว่า หนี้ของกรีซจะไม่สามารถปรับลดลงสู่ระดับ 120% ของ GDP ภายในปี 2020 นอกจากว่ารัฐบาลของประเทศสมาชิกยูโรโซนจะตัดหนี้สูญบางส่วนสำหรับเงินกู้ที่ปล่อยให้แก่กรีซ ขณะที่นายกรัฐมนตรีกรีซเห็นว่าเป็นเหตุผลที่รับฟังไม่ได้ในการชะลอความช่วยเหลือทางการเงิน
■สเปนคาดว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเริ่มฟื้นตัวในปีหน้า ขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะฟื้นคืนสู่ระดับปกติหรือไม่ขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายลดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลซึ่งจำเป็นต้องลดการขาดดุลงบประมาณลงเหลือไม่เกิน 6.3% ของ GDP ในปีนี้
■รัฐบาลอังกฤษกู้ยืมเงินสุทธิ 8.6 พันล้านปอนด์ในเดือน ต.ค. ซึ่งสูงกว่าเดือน ต.ค.ปีที่แล้วอยู่ 2.7 พันล้านปอนด์ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 6 พันล้านปอนด์ โดยอังกฤษจะต้องเผชิญกับแรงกดดันและต้องตัดสินใจว่าจะเดินหน้าลดค่าใช้จ่ายภาครัฐต่อไป หรือขอเวลาเพิ่มในการแก้ปัญหาการคลังของรัฐ ขณะที่รัฐบาลอังกฤษตั้งเป้าว่าจะกู้ยืมเงินไม่เกิน 1.20 แสนล้านปอนด์ในปีงบประมาณ 2555-2556 หรือลดลง 1.2% จากระดับ 1.214 แสนล้านปอนด์ที่รัฐบาลกู้ยืมในปีงบประมาณก่อนหน้า
■“เบน เบอร์นันกี” เตือนว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเผชิญความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ หากเกิดความล้มเหลวในการหารือกันระหว่างรัฐบาลกลางสหรัฐฯ กับสภาคองเกรสเพื่อหลีกเลี่ยง “fiscal cliff” เนื่องจากการขึ้นภาษีและการลดงบประมาณรายจ่ายที่มีผลในปีหน้าจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากภาคธุรกิจจะชะลอการจ้างงานและชะลอการลงทุน ขณะที่ “มาร์ติน เฟลด์สไตน์” ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเผชิญภาวะถดถอยอยู่ดี แม้จะสามารถหลีกเลี่ยง “fiscal cliff” ได้ก็ตาม
■นายชินโซ อาเบะ ผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งได้รับการคาดการณ์ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ประกาศเตรียมผลักดันผ่อนคลายนโยบายการเงินครั้งใหญ่ในขอบเขตที่มากกว่าเมื่อ 3 ปีก่อน เพื่อสกัดการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินเยนและภาวะเงินฝืด
■ยอดส่งออกของญี่ปุ่นเดือนตุลาคมลดลง 2.3% และลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ส่งผลให้ขาดดุลการค้าติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากยอดส่งออกไปจีนลดลง 11.6% เนื่องจากกระแสต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นในจีนจากกรณีข้อพิพาทเหนือหมู่เกาะเตียวหยู ขณะที่ยอดส่งออกไปสหภาพยุโรปลดลง 20.1% และยอดส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3.1% ทั้งนี้ เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะถดถอยอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น หลัง GDP ติดลบมาแล้ว 2 ไตรมาสติดต่อกัน
■สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ชี้ว่า การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของกลุ่มชาติตะวันตกจะไม่มีผลกระทบต่อโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยอิหร่านยังคงเดินหน้าผลิตยูเรเนียมบริสุทธิ์ 20% ซึ่งง่ายต่อการเปลี่ยนเป็นอาวุธ
■ยูเอ็นเปิดเผยว่า ปริมาณความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศโลกอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2011 โดย 80% เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งจะคงอยู่ไปนานนับร้อยปี และส่งผลให้โลกของเรามีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้เป้าหมายของยูเอ็นที่จะทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่เกิน 1 องศาเซลเซียสต่อปีทำได้ยากขึ้น
■SET Index ปิดที่ 1,276.39 จุด ลดลง 0.02 จุด หรือ 0.0% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 22,620 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 131 ล้านบาท ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงสวนทางกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังกังวลกับการชุมนุมทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์นี้ รวมทั้งความกังวลหลังนายเบอร์นันกีออกมาระบุว่าสหรัฐฯ อาจเจอภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้
■อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลงในช่วง -0.01% ถึง +0.05% สำหรับวันนี้มีการประมูลพันธบัตร ธปท.อายุ 3 ปี วงเงิน 35,000 ล้านบาท
■จีนเผยว่า ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่บ่งชี้ว่ามีเงินร้อนไหลเข้าสู่จีน แม้ค่าเงินหยวนจะทะยานขึ้นในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม ซึ่งอาจถูกผลักดันมาจากภาวะตลาดที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม จะมีการเพิ่มการตรวจสอบกระแสเงินทุนระหว่างประเทศที่ผิดปกติมากขึ้น ทั้งนี้ ปริมาณอุปสงค์และอุปทานเงินตราต่างประเทศยังอยู่ในระดับสมดุล และการคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนยังคงมีเสถียรภาพ
■ธนาคารโซซิเอเต เจนเนอราล (ซอคเจน) ชี้ว่า ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มแข็งแกร่งไปจนถึงสิ้นปีนี้และปีหน้า โดยในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพที่ 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะยังคงอ่อนค่าลงอันเนื่องมาจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินในสหรัฐฯ ทั้งนี้ ซอคเจนคาดว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวโดยเฉลี่ยที่ระดับ 1,802 ดอลลาร์/ออนซ์ในไตรมาสแรกปีหน้า จากนั้นจะเคลื่อนไหวที่ 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ในไตรมาส 2 และจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 1,850 ดอลลาร์/ออนซ์ในไตรมาส 3
■สเปนคาดว่าเศรษฐกิจของประเทศจะเริ่มฟื้นตัวในปีหน้า ขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะฟื้นคืนสู่ระดับปกติหรือไม่ขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายลดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลซึ่งจำเป็นต้องลดการขาดดุลงบประมาณลงเหลือไม่เกิน 6.3% ของ GDP ในปีนี้
■รัฐบาลอังกฤษกู้ยืมเงินสุทธิ 8.6 พันล้านปอนด์ในเดือน ต.ค. ซึ่งสูงกว่าเดือน ต.ค.ปีที่แล้วอยู่ 2.7 พันล้านปอนด์ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 6 พันล้านปอนด์ โดยอังกฤษจะต้องเผชิญกับแรงกดดันและต้องตัดสินใจว่าจะเดินหน้าลดค่าใช้จ่ายภาครัฐต่อไป หรือขอเวลาเพิ่มในการแก้ปัญหาการคลังของรัฐ ขณะที่รัฐบาลอังกฤษตั้งเป้าว่าจะกู้ยืมเงินไม่เกิน 1.20 แสนล้านปอนด์ในปีงบประมาณ 2555-2556 หรือลดลง 1.2% จากระดับ 1.214 แสนล้านปอนด์ที่รัฐบาลกู้ยืมในปีงบประมาณก่อนหน้า
■“เบน เบอร์นันกี” เตือนว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเผชิญความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ หากเกิดความล้มเหลวในการหารือกันระหว่างรัฐบาลกลางสหรัฐฯ กับสภาคองเกรสเพื่อหลีกเลี่ยง “fiscal cliff” เนื่องจากการขึ้นภาษีและการลดงบประมาณรายจ่ายที่มีผลในปีหน้าจะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากภาคธุรกิจจะชะลอการจ้างงานและชะลอการลงทุน ขณะที่ “มาร์ติน เฟลด์สไตน์” ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเผชิญภาวะถดถอยอยู่ดี แม้จะสามารถหลีกเลี่ยง “fiscal cliff” ได้ก็ตาม
■นายชินโซ อาเบะ ผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งได้รับการคาดการณ์ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ประกาศเตรียมผลักดันผ่อนคลายนโยบายการเงินครั้งใหญ่ในขอบเขตที่มากกว่าเมื่อ 3 ปีก่อน เพื่อสกัดการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินเยนและภาวะเงินฝืด
■ยอดส่งออกของญี่ปุ่นเดือนตุลาคมลดลง 2.3% และลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ส่งผลให้ขาดดุลการค้าติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากยอดส่งออกไปจีนลดลง 11.6% เนื่องจากกระแสต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นในจีนจากกรณีข้อพิพาทเหนือหมู่เกาะเตียวหยู ขณะที่ยอดส่งออกไปสหภาพยุโรปลดลง 20.1% และยอดส่งออกไปสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3.1% ทั้งนี้ เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะถดถอยอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น หลัง GDP ติดลบมาแล้ว 2 ไตรมาสติดต่อกัน
■สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ชี้ว่า การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของกลุ่มชาติตะวันตกจะไม่มีผลกระทบต่อโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยอิหร่านยังคงเดินหน้าผลิตยูเรเนียมบริสุทธิ์ 20% ซึ่งง่ายต่อการเปลี่ยนเป็นอาวุธ
■ยูเอ็นเปิดเผยว่า ปริมาณความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศโลกอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2011 โดย 80% เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งจะคงอยู่ไปนานนับร้อยปี และส่งผลให้โลกของเรามีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้เป้าหมายของยูเอ็นที่จะทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่เกิน 1 องศาเซลเซียสต่อปีทำได้ยากขึ้น
■SET Index ปิดที่ 1,276.39 จุด ลดลง 0.02 จุด หรือ 0.0% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 22,620 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 131 ล้านบาท ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงสวนทางกับตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาค เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังกังวลกับการชุมนุมทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์นี้ รวมทั้งความกังวลหลังนายเบอร์นันกีออกมาระบุว่าสหรัฐฯ อาจเจอภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้
■อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลงในช่วง -0.01% ถึง +0.05% สำหรับวันนี้มีการประมูลพันธบัตร ธปท.อายุ 3 ปี วงเงิน 35,000 ล้านบาท
■จีนเผยว่า ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่บ่งชี้ว่ามีเงินร้อนไหลเข้าสู่จีน แม้ค่าเงินหยวนจะทะยานขึ้นในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม ซึ่งอาจถูกผลักดันมาจากภาวะตลาดที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม จะมีการเพิ่มการตรวจสอบกระแสเงินทุนระหว่างประเทศที่ผิดปกติมากขึ้น ทั้งนี้ ปริมาณอุปสงค์และอุปทานเงินตราต่างประเทศยังอยู่ในระดับสมดุล และการคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนยังคงมีเสถียรภาพ
■ธนาคารโซซิเอเต เจนเนอราล (ซอคเจน) ชี้ว่า ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มแข็งแกร่งไปจนถึงสิ้นปีนี้และปีหน้า โดยในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพที่ 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะยังคงอ่อนค่าลงอันเนื่องมาจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินในสหรัฐฯ ทั้งนี้ ซอคเจนคาดว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวโดยเฉลี่ยที่ระดับ 1,802 ดอลลาร์/ออนซ์ในไตรมาสแรกปีหน้า จากนั้นจะเคลื่อนไหวที่ 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ในไตรมาส 2 และจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 1,850 ดอลลาร์/ออนซ์ในไตรมาส 3