กองทาร์เกตฟันด์ “SPOT7S6” เอ็มเอฟซี ผลตอบแทนเข้าเป้าเป็นกองทุนที่ 8 ของปีนี้ ผู้ถือหน่วยลงทุนเตรียมรับผลตอบแทนคืน 7% พร้อมออกกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี สปอท 55 ซีรี่ส์ 2 (SPOT55S2) ต่อเนื่อง ตั้งเป้าหมายผลตอบแทน 10% ใน 10 เดือน เปิดขายครั้งเดียววันที่ 1-14 พฤศจิกายน 2555
นางสาวประภา ปูรณโชติ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เอ็มเอฟซีได้สร้างผลงานความสำเร็จของทาร์เกตฟันด์โดดเด่นเป็นที่น่าพอใจแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอีกเป็นครั้งที่ 8 ของปีนี้ จากกองทุนเปิดเอ็มเอฟซีสปอท 7 ซีรี่ส์ 6 หรือกองทุนเปิด SPOT7S6 ซึ่งผู้ถือหน่วยลงทุนจะได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ประมาณร้อยละ 7 หรือ 10.70 บาทต่อหน่วยลงทุน โดยใช้เวลาในการบริหารกองทุน 7 เดือน 3 วัน โดยกองทุนดังกล่าวได้จัดตั้งในช่วงปลายไตรมาส 1 ที่ระดับดัชนี 1203.91 จุด และสามารถปิดกองทุนได้ที่ระดับดัชนี 1281.81 จุด
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างผลตอบแทนต่อเนื่องสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนในทาร์เกตฟันด์ที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย เอ็มเอฟซีจึงเสนอขายกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี สปอท 55 ซีรี่ส์ 2 หรือกองทุนเปิด SPOT55S2 ที่มีนโยบายลงทุนหุ้นและตราสารหนี้ในประเทศ และตั้งเป้าหมายผลตอบแทนร้อยละ 10 ภายใน 10 เดือน โดยมีลักษณะพิเศษคือ หากกองทุนมีมูลค่าหน่วยลงทุน 10.55 บาทขึ้นไป กองทุนเปิด SPOT55 จะรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติในอัตราร้อยละ 5 ของมูลค่าที่ตราไว้ (10 บาท) เพื่อให้ผู้ถือหน่วยลงทุนได้รับคืนผลตอบแทนครั้งที่ 1 ในอัตราร้อยละ 5 ก่อน และบริษัทจัดการจะทำการบริหารเงินลงทุนเดิมเพื่อให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นต่อจนเข้าเงื่อนไขการเลิกกองทุนตามเป้าหมายเพื่อรับผลตอบแทนอีกร้อยละ 5 ต่อไป
สำหรับกลยุทธ์ของกองทุนเปิด SPOT55S2 จะลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานดีในตลาดหลักทรัพย์ไทย โดยมีการบริหารกองทุนแบบ Active ซึ่งผู้จัดการกองทุนสามารถปรับพอร์ตการลงทุนตามสภาวการณ์ตลาดได้ทันท่วงทีทั้งตราสารทุนและตราสารหนี้ และสามารถลงทุนในตราสารอนุพันธ์ โดยลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าใน SET50 Index Futures
โดยเอ็มเอฟซีคาดว่ามีปัจจัยสนับสนุนที่ดีต่อตลาดหุ้นไทย ซึ่งจะเป็นโอกาสต่อการลงทุนของกองทุนเปิด SPOT55S2 ให้ได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทั้งยุโรป อเมริกา และจีน ทำให้สภาพคล่องภายในระบบเพิ่มสูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำต่อไป จึงเป็นปัจจัยส่งเสริมการเคลื่อนย้ายเงินลงทุนมายังสินทรัพย์เสี่ยงในระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยยังสามารถขยายตัวได้แข็งแกร่งจากการลงทุนภาครัฐ และการบริโภคของภาคเอกชน โดย GDP ในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ระดับ 5.5-6.0% และ 4.5-5.0% ในปีหน้า และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ยังคงแข็งแกร่ง โดยคาดว่าจะสามารถเติบโตได้ 18% ในปีนี้ และ 17% ในปีหน้า