คอลัมน์รวยด้วยรัก...รวยด้วยหุ้น …
ในสังคมระดับชาติ ความเป็นพี่น้อง ที่ “รู้รักสามัคคี” มีความเป็น “น้ำหนึ่งใจเดียวกัน”มีความสำคัญที่ทำให้เกิดความสงบสุข สันติสุข และ เกิดพลังของแผ่นดิน
วิธีการของคนร้าย คือ สร้างความเท็จ ใส่ร้ายผู้อื่น หวังประโยชน์ส่วนตนจึงเป็นหน้าที่ของ สื่อมวลชน ให้มีบทบาทเป็น “ยามของแผ่นดิน” หรือ Watch Dog เมื่อเห็นภาพว่า หน้าที่ของWatch Dog คือปกป้องนาย ปกป้องบ้าน บทบาทของสื่อ ที่ปกป้องชาติ และ บ้านเมือง จึงเป็นบทบาทที่มีศักดิ์ศรีสมกับความภาคภูมิใจที่ได้เกิดมามีหน้าที่สื่อมวลชนเพื่อปกป้องแผ่นดิน
ในบรรยากาศที่สังคมรู้สึกมีพวก มีข้างนั้น บทบาทสำคัญของสื่อมวลชน คือ ต้องเป็นกลาง ไม่เข้าข้าง “ใคร”แต่ขอให้ เข้าข้าง “ความจริง” ไม่ทำให้ประชาชนถูกปกปิดให้รู้ข้อมูลไม่ครบ หรือทำให้เข้าใจผิดในประเด็นสำคัญเมื่อทุกฝ่ายทราบความจริงเดียวกัน ยังมีความนิยมที่ต่างกันก็ไม่แปลก เพราะนั่นคือความงดงามของประชาธิปไตย
แต่ถ้าไม่รับทราบความจริงเท่าเทียมกัน ก็อาจจะรู้สึก “แบ่งข้าง” รู้สึกฝ่ายตรงข้ามไม่มีเหตุผลจนอาจเกิดความเกลียดชังแตกแยก สื่อมวลชนจึงมีหน้าที่ปกป้องความจริงและในบทบาทสื่อ ก็ควรจะยังให้ความเป็นธรรม ประกอบความเมตตา พร้อมเปิดให้ชี้แจงด้วยหลักฐานเสมอล่าสุด มีการจัดงานเปิดตัว “ความจริงเพื่อการยุติธรรม” โดยอดีตนายกฯท่านหนึ่งซึ่งเกี่ยวโยงกับอดีตนายกฯอีกท่านหนึ่ง โดย มีประเด็นต่างๆที่ดูความจริงยังอาจไม่ครบถ้วนผมจึงอยากเติมความจริงให้ครบหลายประเด็น ดังนี้
1.ความจริงที่ขาดไปว่า “พ.ต.ท.ทักษิณทำประโยชน์ให้บ้านเมืองมากมาย”มีหลายประการ
...ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง มีคำปราศรัยของนาย เสนาะ เทียนทองว่า “ผมคิดว่าคนคนนี้เมื่อเลวร้ายแล้วจะกลับใจแต่ตอนนี้พอรู้แล้วเลยร้องอ๋อ ว่าที่เลวมาจากโกงชาติโกงแผ่นดินนั่นเอง มันกล้าทำถึงขนาดเผาบ้านเมืองเอาเงินประกันหมอนี่คิดอะไรเป็นชั้นๆ ไตร่ตรองทุกขั้นทุกตอน สมัยที่ผมเป็นผู้จัดการรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธตอนนั้นมีปัญหาการเงินการคลัง ไม่มีใครมาเป็นรัฐมนตรี เพราะว่านายอำนวย วีรวรรณ ลาออกกะทันหันพ.ต.ท.ทักษิณส่งคนเข้ามาทำงานแล้วลอยค่าเงินบาท โดยเสวยสุขอยู่คนเดียว ขณะที่คนเป็นเอ็นพีแอลทั้งประเทศแล้วยังมาลอยหน้าลอยตากลับมาเป็นผู้นำประเทศ” แต่น่าแปลกใจไหม ที่ไม่มีการฟ้องหมิ่นประมาท โดย พ.ต.ท. ทักษิณเลย
…พ.ต.ท. ทักษิณ เองก็เข้ารับตำแหน่งรองนายกฯในปี 2540 หลังจากสนับสนุนรัฐบาลพลเอกชวลิตมาโดยตลอดเมื่อรัฐบาลลาออกนั้น ทุนสำรองระหว่างประเทศสุทธิลดลงจากระดับ 4 หมื่นล้านเหรียญ สรอ. เหลือเพียงประมาณ 7พันล้านเหรียญ สรอ. เท่านั้น !
...และมีข่าวเรื่อง กองทุนลับ “วินมาร์ค” เกาะฟอกเงิน ซื้อหุ้นบริษัทกระดาษ 900-1,500 ล้านบาทซึ่งอาจเป็นเงินที่ได้กำไรจากการลอยตัวค่าเงินบาทก็เป็นได้
…รัฐบาลต่อมา โดยมีอดีตนายกฯ ชวน หลีกภัย, คุณ ธารินทร์ นิมมานเหมินท์ และ ดร. ศุภชัย พานิชภักดิ์ได้ใช้เวลาแก้ไขวิกฤตอยู่นาน จนเราสามารถผ่านพ้นวิกฤตมาได้ ก่อนฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซียด้วยซ้ำทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่งสะสมมาจนพ้นวิกฤต
...ในภาวะที่เศรษฐกิจเริ่มมั่นคง รัฐบาลเริ่มใช้เงินเพื่อสร้างประโยชน์ให้ประชาชนเริ่มเกิดขึ้นได้โครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ “30 บาทรักษาทุกโรค” จึงเกิดขึ้นได้ แต่ทุกประเทศที่เป็นอารยะจะบอกว่า เรามาทำหน้าที่ ใช้ “ภาษี” ประชาชนมาสร้างประโยชน์ให้ประชาชนด้วยโครงการนี้ โครงการนั้นผู้อาสาเข้ามาแสดงวิสัยทัศน์และนโยบายบริหารภาษีประชาชนนั้น ไม่ควรอ้างว่า เป็น “การให้ของตน”ควรให้คนไทยรักแผ่นดิน ยินดีที่ทุกๆคนเสียภาษี คนมั่งมีก็เสียมาก คนมีน้อยก็เสียน้อยหรือไม่ต้องเสีย แต่ภาษีนั้นก็กลับมาพัฒนาประเทศชาติด้วยกัน ไม่ใช่อ้างเป็นบุญคุณส่วนตัว !
...คำพิพากษา “ยึดทรัพย์” ก็มีความชัดเจนว่า ได้มีการ “ซุกหุ้น” จริง และการดำรงตำแหน่งนายกฯนั้นไม่ว่าจะเป็นการกระทำ หรือ ละเว้นการกระทำต่างๆเพื่อเอื้อประโยชน์กิจการส่วนตัวนั้น จึงเข้าข่ายการใช้อำนาจโดยมิชอบไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษีสรรพสามิต เรื่องการปรับลดส่วนแบ่งรายได้ภาครัฐ ฯลฯ ก็มีความชัดเจน
...หากจะกล่าวหาว่าศาลไม่ยุติธรรม ต้องถามว่า “เงินที่ศาลคืนให้ ได้กลับไปที่บุคคลต่างๆหรือไม่ ?”การโอนหุ้นเป็นความจริง เงิน 3 หมื่นล้านบาท น่าจะคืนให้ น.ส. พินทองทา (แต่เพิ่งแต่งงานไปแล้ว) 1.2 หมื่นล้านบาท นาย พานทองแท้ 9 พันล้านบาท นาย บรรณพจน์ 8 พันล้านบาท และ นายกฯยิ่งลักษณ์ ร่วม 1พันล้านบาท แต่ก็ดูจะไม่ใช่ เพราะเป็นเพียงโนมินี ... เช่นนั้น ก็ไม่ควรพูดโกหกประชาชนอีกว่า เป็นคนดี ไม่ใช่คนร้ายหรือที่ อดีตนายกฯเองไปใส่ร้ายประเทศไทย ทั้งที่จีน ญี่ปุ่น และหลายๆประเทศว่า “ไม่ได้รับความยุติธรรม”หรือ “เป็นเหยื่อการเมือง” อีก
2.ความจริงที่ขาดไปว่า “มีคนมากมาย มากกว่าครึ่ง หรือ 2 ใน 3 และคิดว่าคนที่ทำรัฐประหารควรออกมาขอโทษประชาชนในฐานะเป็นกบฏไม่ใช่ พ.ต.ท.ทักษิณ”
...หากประชาชนได้รับทราบความจริงว่า ระบอบทักษิณนั้น ได้ใช้อำนาจรัฐกระทำการหรือละเว้นกระทำการ เอื้อประโยชน์ส่วนตัวอย่างผิดกฎหมาย การรัฐประหารที่เกิดขึ้นในปี2549 ก็มิได้เป็นเพื่ออำนาจเช่นเดิม เพียงเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมทำงานได้ ประชาชนก็จะเข้าใจมากขึ้นจึงไม่แปลกใจที่ทหารได้รับดอกไม้ของผู้ต้องการปกป้องความจริงด้วย
3.ความจริงที่ขาดไปว่า “คนที่สั่งการไม่เห็นเป็นอะไรนั้น พวกนี้หน้าหนา ไม่ค่อยรู้สึกอย่างไรก็ตามมั่นใจว่า สุดท้ายแล้วความจริงจะปรากฏ คนทำผิดจะต้องชดใช้”
...คนไทยย่านผ่านฟ้า ราชประสงค์ สีลม ต้องอยู่ในความเสี่ยงและความลำบาก
...ผมเคารพคนเสื้อแดง ที่มาด้วยใจรักประชาธิปไตย ผมก็รักประชาธิปไตย และผมก็เคยออกมาชุมนุมเช่นกัน
...แต่ความจริงที่ขาดไป คือ มีชายชุดดำ บุกโรงพยาบาลจุฬาฯ เผายางจนควันรมโรงพยาบาลยิง M79 ฯลฯ เป็นภัยคุกคามประชาชนผู้บริสุทธิ์ มีการยิงสังหารทหารที่ปฏิบัติหน้าที่สอดคล้องกับแก้ว 3 ประการซึ่งรวมกองกำลังมิทราบฝ่ายซึ่งกล่าวโดยแกนนำเสื้อแดง ความจริงเหล่านี้ย่อมทำให้เข้าใจเหตุผลของการสั่งการเพื่อปกป้องประชาชนมากขึ้น
...และความจริงที่สำคัญคือ อย่าใส่ร้ายว่า “สั่งการสลายการชุมนุม”เพราะเมื่อภาครัฐเผชิญกับผู้ชุมนุมเสื้อแดงที่ปราศจากอาวุธ ก็มีแต่การนำชาวบ้านเสื้อแดงส่งกลับบ้าน 3,650 คนจึงไม่ควรนำความสูญเสีย ที่เกิดจากการปะทะ กับกองกำลังติดอาวุธ มาบิดเบือนว่าเป็นการสลายการชุมนุมหยุดรังแกประเทศ ด้วยการสร้างความแตกแยกด้วยความเท็จ ความรักคือความสว่างความเกลียดชังโดยการใส่ร้ายเป็นความมืด ของสังคม และในฐานะคนไทย ทำหน้าที่สื่อมวลชนก็เรียกร้องให้ใช้ “ความจริง” เพื่อ “ความยุติธรรม”
ผมขอถือโอกาสนี้ ขอให้กำลังใจ คอป. เพื่อขอความจริงให้ปรากฏ เป็นคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ต่อแผ่นดินและขอส่งเสริมความเมตตา หากสิ่งที่กล่าวมา เป็นความเท็จโปรดใช้ความจริงและหลักฐานออกมาทำให้เกิดความจริงที่ชัดเจนร่วมกันครับ ชาวไทยพร้อมเปิดใจและให้อภัยกันเสมอครับ
โดยมนตรี ศรไพศาล (montree4life@yahoo.com; www.oknation.net/blog/richwithlove; @montrees)