เชื่อว่าข่าวดีที่หลายคนรอคอยมาถึงแล้วหลังจากต้องลุ้นกันอยู่นานนั้นคือ การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ลงมือกระตุ้นเศรษฐกิจอีกรอบด้วยการออกมาตรการ QE3 ประกาศซื้อพันธบัตรรอบใหม่วงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน โดยมีเป้าหมายหั่นอัตราดอกเบี้ยระยะยาว ขณะเดียวกันยังได้ปรับลดประมาณการการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2012 ของประเทศลงอีกด้วย เอาเป็นว่าข่าวดีก็ต้องมีข่าวร้ายปรากฏอยู่เสมอ
กลับมาที่ประเทศไทยกันบ้าง ปัญหาเรื่องน้ำท่วมเริ่มกลับมาสร้างความหวาดกลัวให้ประชาชนมากขึ้น สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือ ไม่ประมาท หากคิดว่าน้ำจะไหลผ่านมาแบบครั้งที่แล้วก็อย่าได้นิ่งนอนใจเพราะน้ำจะมาเมื่อไรไม่มีใครบอกและเตือนได้ เอาเป็นว่าไม่ประมาท และมีสติ เราจะผ่านพ้นวิกฤตนี้ได้อีกครั้ง
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี และ บลจ.ไทยพาณิชย์ ได้เปิดตัว 3 กองทุนใหม่ ซึ่งหลายคนบอกว่าลักษณะการลงทุนค่อนข้างเหมือนกัน วันนี้เราจะฉายภาพให้เห็นว่ากองทุนที่ว่านั้นจะเหมือนและแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน
เริ่มกันที่ บลจ.กรุงศรี กับกองทุนที่มีชื่อว่า “กองทุนเปิดกรุงศรีไลฟ์สเตจพลัส” ที่มี 3 แบบให้เลือกลงทุน ซึ่งดูชื่อแล้วก็เหมือนลงทุนตามสูตรช่วงอายุที่เคยแนะนำกันมา ลองมาดูนโยบายการลงทุน เริ่มที่ กองทุนเปิดกรุงศรีไลฟ์สเตจ 20 พลัส แบ่งสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุน 70% ตราสารหนี้ 20% และทองคำ 10% เหมาะต่อผู้ที่มีอายุระหว่าง 21-30 ปี เป็นวัยเริ่มต้นทำงาน ยังไม่มีภาระที่ต้องรับผิดชอบมากนัก และเป็นวัยที่มีเวลาหารายได้อีกนานจึงสามารถจัดสรรเงินลงทุนไปลงทุนในตราสารทุนสัดส่วนที่สูงได้ เพื่อโอกาสฐานะทางการเงินและผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว
กองทุนเปิดกรุงศรีไลฟ์สเตจ 30 พลัสมีสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุน 50% ตราสารหนี้ 40% ทองคำ 10% เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีอายุระหว่าง 31-54 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่มีรายได้และรายจ่ายเพิ่มสูงขึ้น และมีเป้าหมายทางการเงินที่หลากหลาย เช่น วางแผนซื้อบ้าน วางแผนการศึกษาบุตร และการวางแผนเกษียณ เมื่อมีภาระที่ต้องรับผิดชอบมากขึ้นระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ก็น้อยลง การลงทุนของคนในวัยนี้จึงมีการลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุน
และกองทุนเปิดกรุงศรีไลฟ์สเตจ 55 พลัสมีสัดส่วนการลงทุนในตราสารทุน 20% ตราสารหนี้ 70% ทองคำ 10% เหมาะสำหรับผู้ที่เกษียณและไม่มีรายได้จากงานประจำ แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอและความเสี่ยงต่ำ
ข้อดีของกองทุนซีรีส์กองทุนเปิดกรุงศรีไลฟ์สเตจพลัส ที่ บลจ.กรุงศรีชูนั้นก็คือความโดดเด่นด้านกลยุทธ์การลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทที่จัดสัดส่วนการลงทุนที่ลงตัวในแต่ละช่วงอายุด้วยการปรับสัดส่วนการลงทุนให้เป็นไปตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ หรือ Rebalancing
กลับมาที่ฟาก บลจ.ไทยพาณิชย์กับ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์สมาร์ทแพลน เมื่อเปิดนโยบายการลงทุนแล้วจะพบว่า กองทุนเปิดไทยพาณิชย์สมาร์ทแพลน 2 จะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ หุ้น เงินฝาก อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ โดยกองทุนจะลงทุนในหุ้นไม่เกินร้อยละ 25 และไม่มีการลงทุนในต่างประเทศ เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย ซึ่งผู้จัดการกองทุนจะพยายามควบคุมระดับความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบประมาณไม่เกิน -5% ต่อปี
ขณะที่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์สมาร์ทแพลน 3 นั้นจะลงทุนคล้ายกันกับกองทุนเปิดไทยพาณิชย์สมาร์ทแพลน 2 แต่จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกินร้อยละ 34 รวมทั้งยังมีการลงทุนในต่างประเทศไม่เกินร้อยละ 35 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง โดยผู้จัดการกองทุนจะพยายามควบคุมระดับความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบประมาณไม่เกิน -10% ต่อปี
ส่วนกองทุนเปิดไทยพาณิชย์สมาร์ทแพลน 4 จะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไม่เกินร้อยละ 43 รวมทั้งลงทุนในต่างประเทศไม่เกินร้อยละ 36 เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงสูง โดยผู้จัดการกองทุนจะพยายามควบคุมระดับความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบประมาณไม่เกิน -15%
ทั้งนี้ กองทุนทั้ง Smart Plan 3 และ 4 ยังมีนโยบายการลงทุนในต่างประเทศ ได้แก่ ตราสารหนี้โลก ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ ตราสารทุนโลก ตราสารทุนตลาดเกิดใหม่ เป็นต้น ซึ่งบริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น Wellington, Investec, Veritas และ Robeco และยังเพิ่มการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ และสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ เช่น ทองคำ เป็นต้น
ข้อดีของกองทุนซีรีส์ไทยพาณิชย์สมาร์ทแพลน อยู่ที่การตั้งกรอบความเสี่ยงว่าจะต้องไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ต่อปี ซึ่งหากพบว่ามากเกินไปผู้จัดการกองทุนจะจัดการปรับพอร์ตการลงทุนทันที ซึ่งจะเป็นการจัดพอร์ตการลงทุนในรูปแบบ Risk Target Fund โดยจะอิงกับแบบประเมินความเสี่ยงที่จัดทำโดยสำนักงาน ก.ล.ต.
ถ้าหากถามว่าซีรีส์กองทุนเปิดกรุงศรีไลฟ์สเตจพลัส กับกองทุนเปิดไทยพาณิชย์สมาร์ทแพลนนั้นเหมือนกันหรือไม่ ต้องตอบเลยว่าเป็นความเหมือนที่แตกต่าง ซึ่งการลงทุนตามความเสี่ยงที่เรายอมรับได้นั้นจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่คนที่รับความเสี่ยงได้สูงๆ มักจะเป็นนักลงทุนที่ชอบความท้าท้ายอายุไม่เกี่ยวและไม่สนใจทฤษฎีการลงทุนแบบไลฟ์ไซเคิล
สำหรับข้อดีที่สำคัญที่สุดของทั้งสองกองทุนซีรีส์นั้นก็คือการกระจายการลงทุนที่ดี และยังช่วยประหยัดเวลาให้นักลงทุนกองทุนรวมที่ไม่ต้องคอยจับจังหวะทิศทางตลาดและทิศทางเศรษฐกิจว่าจะต้องปรับสัดส่วนการลงทุนไปยังสินทรัพย์ใดในช่วงเวลาหนึ่ง ขณะเดียวกัน การลงทุนในลักษณะแบบนี้เป็นการลงทุนที่เหมาะกับการลงทุนในระยะยาวประมาณ 3 ปีขึ้น อย่าลืมว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน