ไทยพาณิชย์เชื่อธุรกิจประกันชีวิตไทยแจ่ม ตั้งเป้ารุกประกันรายย่อยผ่านเทสโก้เพิ่มถึง 1 พันล้านบาทใน 2 ปี หลังความร่วมมือ 1 ปีประสบความสำเร็จทำเบี้ยรับได้ถึง 300 ล้านบาท และคาดทั้งปีทำได้ถึง 460 ล้านบาท มั่นใจศักยภาพพันธมิตรแกร่งช่วยหนุน พร้อมยันไม่ปรับสัดส่วนลงทุนเพิ่ม แม้หุ้นเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
นายวิพล วรเสาหฤท กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ SCBLIFE เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้ทำความร่วมมือกับบริษัทเทสโก้โลตัส เพื่อขายช่องทางการจำหน่ายประกันชีวิตรายย่อย (รีเทล แอสชัวรันซ์) ครบ 1 ปี ปัจจุบันมียอดจำหน่ายผ่านสาขาของห้างเทสโก้โลตัสแล้วถึง 300 ล้านบาท และมียอดการออกกรมธรรม์ถึง 12,000 ฉบับ
ทั้งนี้ บริษัทเชื่อว่าในสิ้นปีนี้จะสามารถทำเบี้ยปีแรกได้รวมกันถึง 460 ล้านบาท และมีการออกกรมธรรม์รวมได้ถึง 15,000 ฉบับ และบริษัทตั้งเป้าว่าจะมีเบี้ยรับรวมจากการขายผ่านเทสโก้โลตัสได้ถึง 1,000 ล้านบาทในปี 2257
“ความร่วมมือนี้คงอยู่ไปอีกนานเพราะเราทั้งคู่มีศักยภาพที่ดี ถ้ามองเทสโก้เขาจะมีสาขาถึง 138 สาขา มีคนเข้าใช้บริการถึงกว่า 11 ล้านครั้งต่อสัปดาห์ ส่วนเราก็มีความพร้อมเต็มที่ทั้งสินค้า และพนักงานที่คอยให้บริการที่มีอยู่กว่า 200 คนสำหรับความร่วมมือนี้ และเขายังวางใจให้เราเป็นบริษัทเดียวที่สามารถวางสินค้าประกันชีวิตอีกด้วย”
ส่วนเบี้ยประกันภัยรับของบริษัทปีนี้คาดว่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 37,000 ล้านบาท เพราะในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ส.ค.) มีเบี้ยรับรวม 30,000 ล้านบาท
ด้านนายไซม่อน แรนสัน กรรมการบริษัท เทสโก้ ไลฟ์ แอสชัวรันส์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทมีการให้บริการทางการเงินหลายรูปแบบ แต่ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้เพิ่มความร่วมมือกับบริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิต และเชื่อว่าจะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้
โดยการทำตลาดประกันชีวิตหลังจากนี้บริษัทจะเน้นสร้างการรับรู้แก่ลูกค้ามากขึ้น เพื่อให้ลูกค้าทราบว่าสามารถเลือกซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตได้ที่เทสโก้โลตัสเหมือกับบริการด้านการเงินอื่นที่มีอยู่ก่อน
ประกันชีวิตไทยโต
นายวิพล กล่าวอีกว่า ภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยหลังจากนี้น่าจะเติบโตได้อีก เนื่องจากหากดูโอกาสจากธุรกิจในประเทศไทยจะพบว่ามีปัจจัยบวกอยู่ 3 ด้านด้วยกัน คือ 1. การที่ยอดถือครองกรมธรรม์ประกันชีวิตในประเทศไทยยังอยู่ในระดับต่ำประมาณ 30% ของจำนวนประชากร 2.การที่คนไทยเริ่มมีแนวโน้มตระหนักถึงความสำคัญของประกันชีวิตมากขึ้น และสุดท้ายคือ การที่บริษัทประกันชีวิตสามารถพัฒนาได้ตรงตามความต้องการของคนไทยมากขึ้น
“ประกันชีวิตไทยยังโตอีกมาก แค่ช่วงครึ่งปีตอนนี้น่าจะโตไปแล้ว 17% และคาดว่าทั้งปีจะโตมากกว่านี้เพราะช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงที่มีการใช้สิทธิทางภาษีมากขึ้น ส่วนในอนาคตสิ่งที่จะเป็นตัววัดคือการถือครองกรมธรรม์เพราะคนไทยปัจจุบัน 100 คนมีแค่ 30 คนที่มีประกันชีวิตหรืออาจไม่ถึงเพราะบางคนอาจมีหลายฉบับ ซึ่งน่าจะเป็นจุดที่ประกันชีวิตไทยจะสามารถขยายตัวออกไปได้”
ส่วนการเปิดเสรีการเงินตามข้อตกลงของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน บริษัทเชื่อจะต้องมีการศึกษาให้ละเอียดก่อน ซึ่งหากมองด้านผลกระทบแล้วจะมีด้วย 2 ด้าน คือ 1. การเข้ามาของประกันชีวิตต่างชาติ 2. การรุกออกไปทำธุรกิจในต่างประเทศ ซึ่งทั้ง 2 ด้านจะต้องมีการศึกษารายละเอียดทั้งหมดก่อน และเชื่อว่าต่างชาติที่เข้ามารุกธุรกิจในไทย รวมถึงการรุกธุรกิจต่างประเทศของบริษัทไทยเองน่าจะมีอุปสรรคเช่นกันทั้ง 2 ฝ่าย
ยันคงสัดส่วนลงทุนเดิมแม้หุ้นขึ้น
นายวิพล กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทยังคงสัดส่วนการลงทุนเดิมโดยไม่มีการปรับพอร์ตแต่อย่างใดแม้ว่าจะมีมาตรการ QE 3 เข้ามาช่วยกระตุ้นตลาดก็ตาม โดยเฉพาะการลงทุนในตราสารทุน เนื่องจากการลงทุนดังกล่าวยังคงมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ดังนั้นพอร์ตการลงทุนเดิมน่าจะเหมาะสมที่สุด
สำหรับพอร์ตลงทุนของบริษัทอยู่ที่ 9.9 หมื่นล้านบาท แบ่งออกเป็นลงทุนในพันธบัตรประมาณ 85% ตราสารอนุพันธ์ 7.5% พร็อพเพอร์ตี้ 1-2% ส่วนที่เหลือลงทุนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนที่ปรับตัวขึ้นเป็นผลมาจากหุ้น