สาหัสทีเดียวสำหรับบริษัทฟินิกซ์ประกันภัย หลังจากทางคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) สั่งห้ามออกกรรมธรรม์ ห้ามขยายงานตามมาตรา 52 ก่อนที่จะสามารถแก้ปัญหาและดำเนินธุรกิจต่อได้ในวันที่ 28 มิถุนายน 2555
หลังจากนี้คงจะต้องตามส่องนก"ฟินิกซ์"ตัวนี้ว่าจะฟื้นคืนชีพได้จริงหรือไม่?..
และบทสัมภาษณ์"ธีรชัย นิธิภัทรารัตน์" กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฉบับนี้จะมาเปิดใจให้ได้ทราบกันว่า ตั้งแต่เริ่มจนถึงจบปัญหา และอนาคตของนกไฟตัวนี้
ทำไมถึงสนใจเข้ามาทำธุรกิจนี้
ที่บ้านผม(ครอบครัวนิธิภัทรารัตน์ ) เดิมมีธุรกิจอยู่ด้วยกัน 3 ด้านคือ ธุรกิจค้าปุ๋ย ธุรกิจลอจิสติกส์ และรีสอรท์ แต่ในส่วนหลังจะเป็นการถือหุ้นในธุรกิจโรงแรมที่เกาะสมุยชื่อ คีรีคายัน โดยมีบุคคลอื่นทำการบริหารแทน
ส่วนผมเป็นวิศวกรทำงานในต่างประเทศอยู่ประมาณ 7-8 ปีหลังจากเรียนจบ แต่พอมาช่วงปลายปี 2551 ก็เริ่มเข้ามาอยู่ในธุรกิจประกันภัยจากการสวอปหนี้เป็นทุน จากผู้ถือหุ้นเดิมซึ่งเป็นลูกหนี้ของพี่ชายผม คุณเขม นิธิภัทรารัตน์ และเริ่มเข้ามาบริหารเติมตัวในปี 2552 ซึ่งในเดือนกรกฎาคมปีนี้เองได้มีการเพิ่มทุนเข้าไปอีกประมาณ 200 ล้านบาท
“ทีแรกเข้ามาผมก็ต้องมีที่ปรึกษา แต่ทีรู้แน่ๆ คือทุกอย่างมันบริหารแบบผิดๆ มาตลอด มีการซุกหนี้เอาไว้จากการปล่อยกู้ที่ขาดวินัย และการรับทำประกันภัยที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งตอนนั้นก็ต้องไล่จัดการกันไปทีละเรื่อง ส่วนลูกค้าไหนที่มีความเสี่ยงสูงๆ ก็ต้องค่อยๆ บอกเลิกเขาไป”
ปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้าง
ต้องยอมรับก่อนเลยว่าปัญหามันมีมาตลอด แต่การโดนมาตร 52 ของทางคปภ.ถือเป็นอะไรที่นักมาก ซึ่งตั้งแต่ผมเริ่มบริหารงานมาตั้งแต่ปี 2552 ก็มีปัญหาให้ผมตามแก้เรื่อยมา
“ผมชำระหนี้ที่ไม่ได้ก่อมาตั้งแต่ก่อนโดนมาตรา 52 ความสัมพันธ์ของบริษัทกับอู่ในเครือจึงดี เพราะเราจ่ายเงินให้ไม่เคยเบี้ยว แต่บางอย่างก็ต้องคุยกันว่าจะลดยังไงจะจ่ายยังไง ผมรับผิดชอบแม้แต่ช่วงที่คปภ.ห้ามไม่ให้นำเงินไปจ่ายผมยังหาทางจ่ายจนได้”
ส่วนที่โดนมาตรา 52 จริงๆ มันเกิดขึ้นในช่วงปี 2554 เป็นหลัก ช่วงนั้นจัดส่งงบให้ทางคปภ.ไม่ทันเพราะมีหนี้ของผู้ถือหุ้นชุดเก่าที่เราต้องนำขึ้นมาบันทึกบัญชี และเมื่อส่งงบไปหนี้ส่วนนี้จึงกลายมาเป็นปัญหา เนื่องจากหนี้ส่วนนี้กลายเป็นสินทรัพย์ที่ไม่ได้รับการประเมิน ซึ่งวงเงินมันประมาณ 200 ล้านบาททำให้เงินกองทุนของบริษัทต่ำกว่าเกณฑ์ที่ทางคปภ.กำหนด
ตอนนั้นผมเองยังช็อคอยู่เลย แต่พอดีมารู้จักกับคุณบุญเกิด จิระปัทมะ ที่ปัจจุบันได้มาร่วมงานกันในตำแหน่งรองกรรมผู้อำนวยการใหญ่ของบริษัท โดยตอนนั้นคุณบุญเกิด ก็ให้คำแนะนำเลยว่าหากจะแก้ปัญหานี้จะต้องใช้ยาแรงเท่านั้นคือ”การลดทุน เพิ่มทุน”
จะทำอย่างไรต่อหลังจากคปภ.ปลดล็อคมาตรา 52
ก่อนอื่นต้องขอบคุณทางคปภ.มากที่ให้คำแนะนำอย่างดีมาตลอด เดิมขีดเส้นให้ผมแก้ปัญหาไว้ 2 เดือนแต่ผมก็ขอเลื่อนมาเป็น 4 เดือนจนสามารถแก้ปัญหาได้ หลังจากทำตามคำแนะนำของคุณบุญเกิด
หลังจากนี้ผมก็จะบริหารงานอย่างเต็มที่ เพราะทางครอบครัวผมมีความตั้งใจที่จะทำธุรกิจนี้อย่างจริงจัง ซึ่งก่อนอื่นต้องปรับโครงสร้างในองค์กร และปัจจุบันก็เริ่มมีการดำเนินการไปแล้วส่วนหนึ่งและคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จประมาณสิ้นปีหน้า
ส่วนการรับประกันภัยหลังจากนี้บริษัทจะคัดงานตามความเสี่ยงมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาหลังได้รับการปลดล็อคจากทางคปภ.ลูกค้าเก่าก็เริ่มกลับมาบ้างแล้ว โดยในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมามีเบี้ยเข้ามาแล้วประมาณ 10 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2555 น่าจะมีเบี้ยรับประกันได้ถึง 150 ล้านบาท
จะขายกิจการหรือไม่และจะทำอย่างไรกับแบรนด์
ต้องยืนยันว่าเราไม่มีความคิดที่จะขายกิจการ ที่ผ่านมาตอนเราประสบปัญหามีคนคิดว่าจะมาซื้อเราถูกๆ ซึ่งถึงแม้ตอนนี้จะผ่านพ้นไปแล้ว และให้ราคาสูงมากขึ้นเราก็ไม่มีนโยบายที่จะขายกิจการแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามหากเป็นการเข้ามาร่วมหุ้นเพื่อทำธุรกิจร่วมกันบริษัทยังไม่ปิดโอกาสในเรื่องนี้ แต่มีข้อแม้ว่าผู้ที่จะเข้ามาร่วมงานกับเราจะต้องมีความคิดในการบริหารงานแบบเดียวกัน
“ตอนนี้เท่าที่ดูน่าจะเป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจลอจิสติกส์ และก็น่าจะมีความเป็นไปได้ เพราะเดิมเราเองถนัดการรับประกันภัยทางทะเลอยู่แล้ว และถ้าได้บริษัทประเภทนี้มาจะทำให้เหมาะในการขยายงานประกันภัยในด้านนี้ควบคู่กันไปด้วย ส่วนเรื่องการเข้าซื้อกิจการของต่างชาติที่ผ่านมาเคยมีการติดต่อเข้ามาเหมือนกัน แต่ปัจจุบันยังไม่ได้รับการติดต่อจากธุรกิจต่างชาติแต่อย่างใด”
สำหรับแบรนด์”ฟินิกซ์"ส่วนตัวแล้วมีความชอบในชื่อนี้ เพราะเป็นนกในตำนานที่ไม่มีวันตาย และผู้ถือหุ้นเองยังมีความมั่นใจว่าจะฟื้นฟูโดยใช้ชื่อนี้ต่อไปได้ ถึงแม้ภาพลักษณ์ที่ผ่านมาจะไม่ค่อยดีนัก โดยหลังจากนี้นับเป็นความท้าทายที่บริษัทจะก้าวต่อไปภายใต้แบรนด์นี้ด้วยการให้บริการที่ดี