บลจ.กรุงศรีประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังเติบโตต่อ วางเป้าดัชนีไว้ที่ 1,300 จุด แม้ความผันผวนยังอยู่แต่เชื่อว่าจะผ่านจุดนั้นไปได้ หลังครึ่งหลังที่เหลือปัญหาหนี้ยุโรปเริ่มเบาบาง และที่สำคัญหากกรีซทำ haircut ปัญหาจะเริ่มผ่อนคลาย พร้อมเผยมีเเผนออกกองทุนหุ้นที่เน้นลงทุนใน AEC โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตร กลุ่มพลังงาน และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นในช่วงนี้จะมีแต่ข่าวร้าย ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาหนี้ยุโรป การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นเป็นปัจจัยสำคัญกระทบตลาดหุ้นยังมีอยู่ เพียงแต่มีการปล่อยพัฒนาการในการแก้ปัญหาออกมาตลอดทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไม่ลดลงไปมาก
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยก็ยังมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2554 ความผันผวนของหุ้นไทยอยู่ที่ 25% โดยดัชนีปิดตลาดเมื่อปลายปีอยู่ที่ 1,030 จุด ซึ่งดัชนีก็ไม่ต่ำกว่านั้นเลย หากเราเอาดัชนีที่ 1,030 จุดเป็นจุดต่ำสุดเราก็มองว่าจะได้เห็นดัชนีที่ 1,250-1,280 จุดท่ามกลางความผันผวนของตลาด ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นดัชนีที่ 1,300 จุดเช่นกัน ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือผ่านปัญหาหนี้ยุโรปจะเบาบางลง และหากมีการยอมให้ปรับลดมูลค่าพันธบัตรของกรีซ หรือการทำ haircut ออกไปสถานการณ์น่าจะดีขึ้น
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่คาดกันไว้ว่าจะต่ำสุดในไตรมาสที่ 2 นั้นอาจจะไม่ใช่ ซึ่งอาจจะต้องมาตามในไตรมาสที่ 3 ว่าจะต่ำสุดที่เท่าไร ซึ่งอาจจะได้เห็นมาตรการทางการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ในขณะที่ไตรมาส 4 หลายคนก็ยังมองว่าเศรษฐกิจน่าจะดีเลย์อีกจนถึง 1-2 ไตรมาสของปี 2556 โดยช่วงไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไปจึงจะมีภาพมุมมองเป็นเชิงบวก
"เรายังคงมุมมองว่าตลาดหุ้นไทยอาจมีลุ้นไปที่ 1,700 จุดภายใน 1-2 ปีนี้ เพราะหุ้นไทยมีความแข็งแกร่งหากย้อนกลับไปดูตั้งแต่ปี 2009 เรื่อยมาจนถึงปี 2012 ซึ่งสถานการณ์ต่อจากนี้อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำ การลงทุนจะมีมากขึ้น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานก็เพิ่มขึ้น การเติบโตสินเชื่อก็มีมากขึ้น เห็นได้จากธนาคารหลายแห่งเริ่มมีการขอเพิ่มทุน ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน 15% และมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อได้อีก สมัยก่อนหุ้นไทยมี standard duration ประมาณ 30% แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 25-26%"
นายประภาสกล่าวต่อว่า สำหรับการจัดพอร์ตกองทุนหุ้นของ บลจ.กรุงศรีนั้น เราได้ถือหุ้นบริษัทขนาดเล็กที่น่าสนใจเช่นกันแต่เราก็ไม่ได้ให้น้ำหนักมากเท่าใดนัก เนื่องจากเรามองว่าสภาพคล่องของบริษัทมีค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับการลงทุนของกองทุน และที่สำคัญความเสี่ยงค่อนข้างสูงด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้เรามีแผนที่จะออกกองทุนหุ้น โดยเป็นการลงทุนตรงในประเทศประชาคมอาเซียน (เออีซี) ซึ่งแต่ละประเทศมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา คาดว่าจะสามารถออกกองทุนได้โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงปี 2558 ทั้งนี้ในแต่ละประเทศจะมีจุดแข็งของเขา ซึ่งเราจะลงทุนในหุ้นระดับท็อปของแต่ละประเทศ ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นจุดแข็ง เช่น กลุ่มสินค้าเกษตรในประเทศมาเลเซีย และ ฟิลิปปินส์ กลุ่มพลังงานในประเทศอินโดนีเซีย กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศเกาหลีใต้
อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่า บลจ.กรุงศรีมีศักยภาพที่จะลงทุนโดยตรงในตลาดหุ้นต่างประเทศได้ โดยที่ผ่านมาในการคัดเลือกหุ้นในประเทศจะพิจารณาเปรียบเทียบกับหุ้นต่างประเทศอยู่แล้ว ซึ่งในอดีตเรามองดูหุ้นไทยก็มองเฉพาะในมุมมองของเรา แต่ตอนนี้เราเริ่มมองดูว่าต่างประเทศเขาเป็นอย่างไร เพื่อประเมินด้วยว่านักลงทุนต่างชาติมองหุ้นไทยอย่างไร เพราะเขามีตัวเลือกลงทุนมากกว่าแค่หุ้นในประเทศไทย