ไทยสมุทรประกันชีวิตมั่นใจกวาดเบี้ยรับรวมเข้าเป้า 1.5 หมื่นล้านบาทหรือเติบโต 15% หลังผลงานครึ่งปีแรกเข้าตาเก็บไปแล้วกว่า 7 พันล้านบาท ลั่นเดินหน้ากลยุทธ์ขยายฐานลูกค้าต่างจังหวัดผ่านตัวแทนคนรุ่นใหม่เพิ่ม ไม่ง้อช่องทางแบงก์แอสชัวรันซ์ตามกระแส ขณะที่ผลตอบแทนปีนี้เชื่อโตกว่าเป้า 6.2% แม้ต้องเผชิญความผันผวน และอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำ
นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยสมุทรประกันชีิืวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปีนี้ของบริษัทน่าจะสามารถทำเบี้ยรับรวมได้ตามที่ตั้งไว้ คือเติบโต 15% หรือ 15,284 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยใหม่ หรือ เบี้ยรับปีแรก 4,500 ล้านบาท เติบโต 30% เบี้ยประกันปีต่ออายุ 10,784 ล้านบาท เติบโต 10%
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีเบี้ยรับรวม 7,426 ล้านบาท เติบโต 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 6,203 ล้านบาท เบี้ยประกันปีต่ออายุทำได้ 5,174 ล้านบาท เติบโต 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 4,718 ล้้านบาท เบี้ยปีแรกทำได้ถึง 2,253 ล้านบาท เติบโต 52% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้แค่ 1,485 ล้านบาท
สำหรับเบี้ยประกันของบริษัท 86% จะมาจากช่องทางตัวแทน และถือว่าเป็นช่องทางหลักของไทยสมุทรประกันชีวิต ที่เหลือมาจากช่องทางอื่น ส่วนช่องทางแบงก์แอสชัวรันซ์นั้นไม่ได้สร้างผลงานให้บริษัทได้มากนักเพราะบริษัทไม่มีแบงก์เป็็นของตัวเอง ทำให้บริษัทต้องเน้นในช่องทางตัวแทนและตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องเติบโตในช่องทางตัวแทนระดับภูธร จึงได้ปรับปรุงสาขาให้มีความทันสมัยและส่งเสริมให้ตัวแทนเปิดสำนักงานตัวแทน และจัดกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง
"สิ่งที่ทำให้เบี้ยปีแรกเกินความคาดหมายเพราะได้มีการปรับโครงสร้างการบริหาร และการเปิดรับคนรุ่นใหม่เข้ามามากขึ้น และเน้นการฝึกอบรมให้คนเหล่านี้มีรายได้ บวกกับบริษัทได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งตรงกับความต้องการของลูกค้า ส่งผลให้้เบี้ยประกันเฉลี่ยต่อรายที่ลูกค้าให้ความไว้ว่างใจมีเพิ่มมากขึ้นด้วย"นางนุสรากล่าว
นางนุสรา กล่าวอีกว่า ในส่วนของผลตอบแทนจากการลงทุนครึ่งปีหลัง บริษัทเชื่อว่าน่าจะทำได้ดีเกินเป้าที่ตั้งไว้ และปัจจุบันสามารถทำได้ 6.59% ซึ่งสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ทั้งปีแค่ 6.2% เท่านั้น
โดยปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตการลงทุนรวมทั้งหมด 63,000 ล้านบาท หลักๆ ลงทุนพันธบัตรเกือบ 40% หุ้นกู้เอกชนประมาณ 18% สินเชื่อที่มีทรัพย์สินเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ประเภทบ้านจัดสรร อพาร์ตเมนต์ รวมกันประมาณ 14-15% ปล่อยกู้โดยมีกรมธรรม์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ประมาณ 12% เช่าซื้อประมาณ 2% ที่เหลือเป็นการลงทุนอื่นๆ
ส่วนทิศทางการลงทุนครึ่งปีหลังคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวลดลง ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในครึ่งปีหลังอาจไม่ดีเท่ากับครึ่งปีแรก แต่ก็เชื่อว่าผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งปีน่าจะไม่ต่ำกว่า 6.3% ซึ่งก็สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งปีที่ 6.2%
"ธุรกิจประกันชีวิตจากนี้ไปน่าจะลงทุนในพันธบัตรมากขึ้น เพื่อรองรับการดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง หรือ RBC รวมทั้งต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับภาวะตลาด"
นางสุวรรณ อุดมเฉลิมเดช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานลงทุน บมจ.ไทยสมุทรประกันชีวิต กล่าวว่า พอร์ตการลงทุนหุ้นของบริษัทตอนนี้มีอยู่ประมาณ 2% จากพอร์ตรวมทั้งหมด แต่ได้มีการปรับมาบ้างแล้วตั้งแต่ช่วงต้นปี อย่างไรก็ตาม บริษัทจะยังคงรักษาระดับการลงทุนให้อยู่ในระดับนี้ไปก่อน ส่วนจะมีการปรับเปลี่ยนอีกครั้งหรือไม่คงจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์และจังหวะ โดยหากหุ้นที่น่าสนใจปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมากอาจจะมีการเข้าลงทุนเพิ่มอีก แต่ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่างเพราะการลงทุนมีความผันผวนค่อนข้างมาก
ส่วนเป้าหมายการลงทุนในปีนี้บริษัทคาดว่าน่าจะได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้คือประมาณ 6.3% ซึ่งขณะนี้จริงๆ แล้วผลตอบแทนที่ได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้วคือ 6.59%
"หุ้นของเราจะเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วยการเลือกรายตัว ซึ่งบริษัทจะมีทีมงานประชุมและคอยคัดเลือกอยู่แล้ว เช่นเดียวกับตราสารหนี้ อย่างไรก็ตาม การลงทุนของเราคงจะเน้นความเสี่ยงต่ำที่สุด เพราะเราเป็นบริษัทประกันชีวิต ส่วนผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นก็เป็นเพียงสีสันเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศเรามีอยู่ประมาณ 1.9% และส่วนใหญ่จะเป็นบอนด์ของภาครัฐในต่างประเทศ หรือเป็นบริษัทรัฐวิสหกิจที่มีรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นเป็นส่วนใหญ่"
นางนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยสมุทรประกันชีิืวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปีนี้ของบริษัทน่าจะสามารถทำเบี้ยรับรวมได้ตามที่ตั้งไว้ คือเติบโต 15% หรือ 15,284 ล้านบาท แบ่งเป็นเบี้ยใหม่ หรือ เบี้ยรับปีแรก 4,500 ล้านบาท เติบโต 30% เบี้ยประกันปีต่ออายุ 10,784 ล้านบาท เติบโต 10%
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีเบี้ยรับรวม 7,426 ล้านบาท เติบโต 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 6,203 ล้านบาท เบี้ยประกันปีต่ออายุทำได้ 5,174 ล้านบาท เติบโต 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 4,718 ล้้านบาท เบี้ยปีแรกทำได้ถึง 2,253 ล้านบาท เติบโต 52% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้แค่ 1,485 ล้านบาท
สำหรับเบี้ยประกันของบริษัท 86% จะมาจากช่องทางตัวแทน และถือว่าเป็นช่องทางหลักของไทยสมุทรประกันชีวิต ที่เหลือมาจากช่องทางอื่น ส่วนช่องทางแบงก์แอสชัวรันซ์นั้นไม่ได้สร้างผลงานให้บริษัทได้มากนักเพราะบริษัทไม่มีแบงก์เป็็นของตัวเอง ทำให้บริษัทต้องเน้นในช่องทางตัวแทนและตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องเติบโตในช่องทางตัวแทนระดับภูธร จึงได้ปรับปรุงสาขาให้มีความทันสมัยและส่งเสริมให้ตัวแทนเปิดสำนักงานตัวแทน และจัดกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง
"สิ่งที่ทำให้เบี้ยปีแรกเกินความคาดหมายเพราะได้มีการปรับโครงสร้างการบริหาร และการเปิดรับคนรุ่นใหม่เข้ามามากขึ้น และเน้นการฝึกอบรมให้คนเหล่านี้มีรายได้ บวกกับบริษัทได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งตรงกับความต้องการของลูกค้า ส่งผลให้้เบี้ยประกันเฉลี่ยต่อรายที่ลูกค้าให้ความไว้ว่างใจมีเพิ่มมากขึ้นด้วย"นางนุสรากล่าว
นางนุสรา กล่าวอีกว่า ในส่วนของผลตอบแทนจากการลงทุนครึ่งปีหลัง บริษัทเชื่อว่าน่าจะทำได้ดีเกินเป้าที่ตั้งไว้ และปัจจุบันสามารถทำได้ 6.59% ซึ่งสูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ทั้งปีแค่ 6.2% เท่านั้น
โดยปัจจุบันบริษัทมีพอร์ตการลงทุนรวมทั้งหมด 63,000 ล้านบาท หลักๆ ลงทุนพันธบัตรเกือบ 40% หุ้นกู้เอกชนประมาณ 18% สินเชื่อที่มีทรัพย์สินเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ประเภทบ้านจัดสรร อพาร์ตเมนต์ รวมกันประมาณ 14-15% ปล่อยกู้โดยมีกรมธรรม์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ประมาณ 12% เช่าซื้อประมาณ 2% ที่เหลือเป็นการลงทุนอื่นๆ
ส่วนทิศทางการลงทุนครึ่งปีหลังคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวลดลง ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนในครึ่งปีหลังอาจไม่ดีเท่ากับครึ่งปีแรก แต่ก็เชื่อว่าผลตอบแทนจากการลงทุนทั้งปีน่าจะไม่ต่ำกว่า 6.3% ซึ่งก็สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้งปีที่ 6.2%
"ธุรกิจประกันชีวิตจากนี้ไปน่าจะลงทุนในพันธบัตรมากขึ้น เพื่อรองรับการดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง หรือ RBC รวมทั้งต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสมกับภาวะตลาด"
นางสุวรรณ อุดมเฉลิมเดช ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานลงทุน บมจ.ไทยสมุทรประกันชีวิต กล่าวว่า พอร์ตการลงทุนหุ้นของบริษัทตอนนี้มีอยู่ประมาณ 2% จากพอร์ตรวมทั้งหมด แต่ได้มีการปรับมาบ้างแล้วตั้งแต่ช่วงต้นปี อย่างไรก็ตาม บริษัทจะยังคงรักษาระดับการลงทุนให้อยู่ในระดับนี้ไปก่อน ส่วนจะมีการปรับเปลี่ยนอีกครั้งหรือไม่คงจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์และจังหวะ โดยหากหุ้นที่น่าสนใจปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมากอาจจะมีการเข้าลงทุนเพิ่มอีก แต่ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่างเพราะการลงทุนมีความผันผวนค่อนข้างมาก
ส่วนเป้าหมายการลงทุนในปีนี้บริษัทคาดว่าน่าจะได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้คือประมาณ 6.3% ซึ่งขณะนี้จริงๆ แล้วผลตอบแทนที่ได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้แล้วคือ 6.59%
"หุ้นของเราจะเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นไทยด้วยการเลือกรายตัว ซึ่งบริษัทจะมีทีมงานประชุมและคอยคัดเลือกอยู่แล้ว เช่นเดียวกับตราสารหนี้ อย่างไรก็ตาม การลงทุนของเราคงจะเน้นความเสี่ยงต่ำที่สุด เพราะเราเป็นบริษัทประกันชีวิต ส่วนผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นก็เป็นเพียงสีสันเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ขณะที่การลงทุนในต่างประเทศเรามีอยู่ประมาณ 1.9% และส่วนใหญ่จะเป็นบอนด์ของภาครัฐในต่างประเทศ หรือเป็นบริษัทรัฐวิสหกิจที่มีรัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นเป็นส่วนใหญ่"