ฝนมากมาเร็ว น้ำท่วม ดันตลาดยากันยุงกำจัดแมลงโตคึกคัก คาดปีนี้โตร่วม 8% จากปกติ 5.2% ไบกอนพร้อมหาคลังสินค้าสำรอง เน้นจัดกิจกรรมให้ความรู้ พร้อมโฟกัส “ออฟ” หวังขึ้นแท่นอันดับหนึ่งใน 3-5 ปี ด้าน “คายาริ” สบช่องหน้าฝน ทุ่ม 45 ล้านบาทเปิดแคมเปญใหม่พร้อมโฆษณาดันยอดขาย เผยปรับราคาขาย 1-2 บาท คาดสิ้นปีดันยอดขายโต 20%
นายนฤบดี วรรธนาคม ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอาวุโส บริษัท เอส.ซี. ยอห์นสัน แอนด์ซัน จำกัด ดูแลแบรนด์ผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงไบกอน และโลชั่นทากันยุงออฟ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์กำจัดแมลงมูลค่า 4,000 ล้านบาทในปีนี้มีอัตราการเติบโตถึง 5.2% โดยได้รับอานิสงส์หลังเหตุการณ์น้ำท่วมผ่านพ้นไปทำให้ตลาดรวมเติบโตได้ดีขึ้นเล็กน้อย จากปกติตลาดจะโตปีละ 5% เท่านั้น
ส่วนในปีนี้เชื่อว่าถึงสิ้นปีตลาดรวมน่าจะมีการเติบโตได้ถึง 7-8% จากปัจจัยฝนที่ตกหนัก มาเร็ว ปริมาณน้ำมาก จนอาจจะมีปัญหาน้ำท่วมตามมา ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตของยุงด้วย รวมถึงการแข่งขันที่รุนแรงในตลาด ที่แต่ละแบรนด์หันมาทำตลาดมากยิ่งขึ้นทั้งการทำโปรโมชัน การออกสินค้าใหม่
ในส่วนของบริษัท ปีนี้ยังคงเดินหน้าจัดกิจกรรมทางการตลาดต่อเนื่อง โดยเฉพาะการจัดกิจกรรมส่งเสริมให้ความรู้ป้องกันและกำจัดยุงลายอย่างต่อเนื่องตามโรงเรียนต่างๆ ที่สำคัญในส่วนของคลังสินค้า จากปีก่อนคลังสินค้าที่วังน้อยเจอน้ำท่วมนั้น ปีนี้ได้วางแผนป้องกันน้ำท่วมแล้ว อีกทั้งยังเล็งหาคลังสินค้าสำรองไว้อีกในหลายๆ พื้นที่ด้วย มั่นใจว่าจะสามารถรับมือได้เป็นอย่างดี
ในขณะที่ราคาสินค้าปีนี้ยังไม่มีแผนปรับราคาขึ้นแต่อย่างใด จากปัจจุบันสินค้าของ เอส.ซี.ฯ จะเป็นการจ้างผลิตเป็นหลัก ถือเป็นโมเดลที่คุ้มทุนที่สุด อีกทั้งผู้บริโภคยังได้ใช้ผลิตภัณฑ์ในราคาที่ไม่แพงจนเกินไป ดังนั้น การลงทุนส่วนใหญ่ในแต่ละปีจะเป็นในส่วนของการวิจัยคิดค้นและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ในปีนี้บริษัทฯ จะมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ใกล้เคียงกับปีก่อน คือ 2-3 รายการ โดยจะโฟกัสไปในส่วนของโลชั่นทากันยุง ออฟ เป็นหลัก เนื่องจากเป็นเซกเมนต์ที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดไม่ต่ำกว่า 12% โดยตลาดรวมมีมูลค่าประมาณ 450 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันแบรนด์ออฟของบริษัทฯ มีแชร์ประมาณ 5.5% เป็นอันดับสามของตลาด สิ้นปีนี้หวังขยับแชร์เพิ่มเป็น 7% และภายใน 3-5 ปีตั้งเป้าขึ้นเป็นอันดับ 1 ของตลาดให้ได้
นายนฤบดีกล่าวต่อว่า สำหรับยอดขายรวมของบริษัทปีนี้ มั่นใจว่าถึงสิ้นปีจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มเป็น 33% หรือราว 1,600-1,700 ล้านบาท มาจากสเปรย์ 45% ยาจุดกันยุงขด 26% และที่เหลือมาจากยาเสียบไม้และโลชั่นกันยุง 29% และเป็นผู้นำตลาดอีกครั้ง จากปีก่อนมีแชร์ 32% ทิ้งห่างอันดับ 2 กว่า 10%
นางวรรณี ควรสถาพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สถาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ทำตลาดยากันยุงภายใต้แบรนด์คายาริ เปิดเผยว่า ตลาดรวมยากันยุงช่วงหน้าฝนจะโตดีประมาณ 10% เพราะเป็นช่วงหน้าขาย ทุกค่ายออกมาทำโปรโมชันส่งเสริมการขายกันมาก คาดว่าจะผลักดันให้ตลาดรวมปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 5-8% จากมูลค่า 3,700 ล้านบาท โดยที่ผลิตภัณฑ์ยากันยุงแบบขดคาดว่าจะเติบโตที่ 8%
ปีนี้ลงทุนหลัก 10 ล้านบาท เพิ่มกำลังการผลิตยากันยุงแบบขดจาก 500 ล้านขดต่อปีเป็น 700 ล้านขดต่อปี ซึ่งจะนำสินค้าเข้าไปทำตลาดในต่างประเทศเพิ่มขึ้น นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนที่จะจับมือร่วมกับพันธมิตรจากต่างประเทศ เพื่อดำเนินธุรกิจยากันยุงร่วมกัน
แผนการทำตลาดในประเทศจะเปิดตัวสินค้าใหม่ต่อเนื่องทั้งในรูปแบบขด สเปรย์ ล่าสุดได้เปิดตัวสินค้าใหม่รูปแบบสเปรย์สูตรไพรีทัมเข้าทำตลาด และยังได้เปิดตัวแบรนด์ บักเซอร์เวย์ หรือยากันยุงสำหรับสุนัข และสตาร์เพทท์ หรือโฟมอาบแห้งสำหรับสุนัขเข้าทำตลาด
รวมทั้งการทำโปรโมชันด้วยแคมเปญ “คายาริแจกจักรยานยนต์ทั่วไทย 50 คัน” รวมมูลค่ากว่า 2.5 ล้านบาท สำหรับลูกค้า และร้านค้าทั่วประเทศ ขณะที่เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ปรับราคายากันยุงแบบขดขึ้น 1-2 บาท จากเดิมขายราคา 15 บาท เพิ่มเป็น 16-17 บาท เพราะต้นทุนค่าแรง วัตถุดิบ ราคาน้ำมันปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่แบบสเปรย์ยังขายราคาเดิม
นอกจากนั้นยังได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ชื่อ “ภัยใกล้ตัว” ทั้งนี้ ปีนี้ได้วางงบตลาดรวม 45 ล้านบาททำกิจกรรมการตลาดในรูปแบบต่างๆ และคาดว่าปีนี้จะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้เป็น 17% จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 14% ขึ้นเป็นอันดับสามในตลาดยากันยุงแทนที่แบรนด์ช้าง ส่วนอันดับสองคือแบรนด์ห่านฟ้า 28% และไบกอนอันดับหนึ่ง 30%
ส่วนภาพรวมยอดขายรวมบริษัทฯ ทั้งปีคาดว่าจะเติบโต 20% หรือมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท
บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะขยายตลาดต่างประเทศด้วย เน้นกลุ่มประเทศในภูมิภาคอาเซียนเพื่อรองรับการเปิดเออีซีในปี 2558 หรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งขณะนี้เริ่มส่งออกสินค้าไปทำตลาดในประเทศลาวบ้างแล้ว และกำลังเริ่มเจรจาการส่งออกไปยังประเทศกัมพูชาและศึกษาตลาดในประเทศพม่า และยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจยากันยุงเข้าไปในตลาดยุโรป
คาดว่าสิ้นปีน่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มเป็น 16-17% จากปัจจุบันมีอยู่ที่ 15% ขึ้นเป็นอันดับ 3 ในตลาดยากันยุงแทนที่แบรนด์ช้าง ขณะที่อันดับ 2 เป็นของแบรนด์ห่านฟ้า 28% และอันดับ 1 เป็นของไบกอน 30%