บลจ.กรุงไทยยิ้ม 3 เดือนแรกมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการเติบโต 13% หรือราว 70,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าทั้งปีเติบโต 20% เร่งออกกองทุนอีทีเอฟ กองทุนอินฟราฯ และกองทุนรวมอสังหาฯ รับการเติบโต
นายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหารจัดการ หรือ AUM ในช่วง 3 เดือนแรกที่ผ่านมามีการเติบโตค่อนข้างดี ในขณะที่ AUM อุตสหกรรมกองทุนรวมโตประมาณ 7% แต่ในส่วนของ บลจ.กรุงไทยเองเติบโตประมาณ 13% หรือประมาณ 70,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2554 เรามียอดขายกองทุนประมาณ 111 กอง มูลค่า 176,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้ยอดขายกองทุนในเฉพาะกองทุน FIF เติบโตประมาณ 84%
ทั้งนี้ ในปีนี้เรามองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะคงที่ หรือลดลง ในช่วงปลายปีอุตสหกรรมกองทุนรวมก็น่าจะได้รับอานิสงส์ เนื่องจากธนาคารพาณิชย์ก็ยังไม่มีการระดมเงินฝากกันรุนเเรงเหมือนในช่วงดอกเบี้ยขึ้น ขณะเดียวกัน กองทุนเองก็ได้รับอนิสงส์จากการไปลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะธนาคารประเทศจีนที่ออกพันธบัตร หรือที่เรียกว่าติ่มซำบอนด์ หรือประเทศบราซิล เป็นต้น ทั้งนี้เมื่อกลับมาเป็นค่าเงินบาท หรือทำ Fully Hedgeg เช่นตอนนี้ที่เราออกกองทุนตราสารหนี้ 1 ปีก็ให้ผลตอบแทนประมาณ 4%
ในขณะที่ตราสารหนี้ไทยเองให้ผลตอบแทนประมาณ 3% ส่วนเงินฝากก็อยู่ประมาณ 3% หรือหุ้นกู้ 4% เมื่อหักภาษีเเล้วผลตอบแทนก็ยังสู้กองทุนรวมไม่ได้
“ในปีนี้เราตั้งเป้าเติบโตประมาณ 20% โดยช่วง 3 เดือนแรกเราออกกองทุนประมาณ 53 กองทุน มูลค่าประมาณ 70,000 ล้านบาท ซึ่งช่วงที่เหลือต่อจากนี้เราก็จะมีโปรดักต์ที่หลากหลายให้นักลงทุนได้เลือกลงทุน ไม่ว่าจะเป็นกองทุน ETF ฮั่งเส็ง รวมถึงกองทุน ETF ที่ลงทุนในตราสารหนี้ นอกจากนี้ก็จะมีกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานที่กำลังพิจารณากันอยู่อีกด้วย” นายสมชัยกล่าว
สำหรับการขยายธุรกิจกองทุนรวมไปยังสาขาธนาคารกรุงไทยในส่วนของภูมิภาคนั้นถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน ซึ่งในปีที่ผ่านมาเราได้นักลงทุนจากภูมิภาค 30% นครหลวง 70% ซึ่งในปีนี้เราตั้งเป้าไว้ว่าจะดึงนักลงทุนจากภูมิภาคเพิ่มขึ้นเป็น 40% และนครหลวงประมาณ 60% โดยที่ผ่านมานักลงทุนในส่วนของภูมิภาคทางสาขาเเบงก์สามารถดึงลูกค้าส่วนนี้เข้ามาลงทุนในกองทุนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเทสโก้ โลตัส รีเทล โกรท และกองทุนทาร์เก็ตฟันด์ เป็นต้น
นายสมชัย กล่าวต่อว่า ในส่วนของธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น เรามีเป้าหมายในการคงลูกค้าเดิม รวมถึงเจาะกลุ่มบริษัทขนาดกลางถึงใหญ่ ส่วนกองทุนส่วนบุคคลนั้นเราก็ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบัน รัฐวิสาหกิจ รวมถึงสถาบันการศึกษา สหกรณ์ออมทรัพย์อีกด้วย