บลจ. วรรณ เผยกองหุ้นแจ่มหวังขยับขั้นควอไทล์1 แนะนักลงทุนหุ้นกลุ่มพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์โตเร็ว คาดดัชนีตลาดหุ้นปีนี้ไปที่ระดับ 1,290 จุด
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยถึงการลงทุนในหุ้นขณะนี้ว่า การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นขณะนี้ ถือว่าเป็นการลงทุนที่ดีของนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนรายย่อย และนักลงทุนต่างชาติเองได้มีการทยอยเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าดัชนีน่าจะมีการปรับตัวไปในระดับ 1,290 จุด ซึ่งผลตอบแทนน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10%
โดยกลุ่มที่บริษัทเน้นการลงทุนในขณะนี้ได้แก่กลุ่มพาณิชย์ เพราะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าปัจจุบันราคาจะมีการปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม ขณะเดียวกันหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่น่าสนใจ เพราะราคาในปัจจุบันมีราคาที่ไม่แพงมากนัก
ขณะเดียวกันกองทุนหุ้นของบริษัท มีนโยบายที่จะบริหารให้ขึ้นมาอยู่ในกลุ่มควอไทล์ (Quartiles) ที่1 มากกว่าที่มุ่งสร้างผลตอบแทนเป็นอันดับ1 ซึ่งปัจจุบันในกลุ่มกองทุนหุ้นของบริษัทเองก็ขยับขึ้นมาติดกลุ่มควอไทล์ที่1 หมดแล้ว โดยหวังว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนได้ โดยกองทุนเปิดวรรณเอเอ็มหุ้นคุณค่าปันผล หรือ 1VAL-D ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทุนหลักของกองทุนหุ้นของบริษัท ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น 12 ตัว กระจายไปในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นเลือกหุ้นคุณภาพดีแฃะจ่ายปันผลสูงในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมไม่เกิน 2 บริษัท จะเป็นกองทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วง 1 - 3 เดือน ข้างหน้านี้ได้
"หุ้นไทยมองว่ากรอบในปีนี้น่าจะอยู่ที่ 1,290 จุด เพราะปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนมีการเติบโตเพิ่มขึ้นมากว่า 17% หรือคิดสัดส่วนพีอีที่ประมาณ 12.5 เท่า และมองจุดต่ำสุดของปีไว้ที่ 1,080 จุด ซึ่งหากเทียบกับตลาดในกลุ่มประชาคมอาเซียนด้วยกัน คือสิงคโปร์ มาเลย์เซีย อินโดนีเซีย ละฟิลลิปปินส์ แล้ว สัดส่วนพีอีจะอยู่ที่ 14.5 ,14.0 ,15.0 และ 17.0 เท่า ตามลำดับ ซึ่งในแง่ของราคาหุ้นตลาดหุ้นไทยยังถือว่าถูกกว่าตลาดอื่นในภูมิภาคเดียวกัน ในขณะที่อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิถือว่าสูงในระดับต้นของภูมิภาค เช่นเดียวกับอัตราส่วนของกำไรต่อส่วนผู้ถือหุ้นที่ประมาณ 20% อัตราเงินปันผลที่ประมาณ 3.5% จึงทำให้มีเม็ดเงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยรวมถึงในแถบเอเซียอย่างต่อเนื่อง" นายวิน กล่าว
ปัจจุบันสินค้าโภคภัณฑ์มีความโดดเด่นมากโดยเฉพาะน้ำมัน และทองคำ โดยทองคำมองว่าปีนี้น่าจะอยู่ที่1,750 -1,780 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ในขณะที่แนวรับล่างอยู่ประมาณ 1,500 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อออนซ์ ซึ่งดีมานด์การลงทุนในทองคำที่คิดเป็นสัดส่วนการลงทุนเริ่มหายไปค่อนข้างมากประมาณ50% ขณะที่สินค้าเกษตรในปีนี้ยังคงไม่ค่อยน่าสนใจมากนัก