บลจ.ไอเอ็นจี มองระยะสั้นหุ้นไทยยังปรับฐาน มั่นใจตลาดหุ้นไทยยังไปต่อได้ จากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่ง บวกกับการสนับสนุนของปัจจัยภายนอกทั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และปัญหาหนี้ยุโรปที่คลี่คลาย แต่อาจมีความเสี่ยงจากการขายทำกำไรระยะสั้น แนะนักลงทุนหาจังหวะเข้าลงทุนในช่วงหุ้นที่มีการปรับฐาน
นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาได้รับแรงหนุนจากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่เริ่มกลับมาดูดีขึ้น ทั้งจากตัวเลขการจ้างงานและการบริโภค รวมทั้งดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐ ทำให้นักลงทุนมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐ อยู่ในช่วงการฟื้นตัวอย่างเป็นลำดับ ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการหดตัวของภาคการผลิตในยูโรโซน จึงทำให้มีเม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติยังคงเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย หากนับจากต้นปี 2555 นักลงทุนต่างประเทศมียอดซื้อสุทธิ 82,856 ล้านบาท (2 เมษายน 2555) และตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น +16.95%
อย่างไรก็ตาม เรามองว่าในเดือนเมษายนนี้ อาจเห็นการปรับฐานหรือการขายทำกำไรระยะสั้นออกมาบ้าง หากพิจารณาจากอัตราส่วนระหว่างราคาหุ้นและกำไรต่อหุ้น (P/E) ของไทยที่อยู่ที่ระดับ 11.9 ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชีย ex-Japan ที่อยู่ที่ระดับ 11.7 (2 เมษายน 2555) รวมทั้งการที่เม็ดเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นความกังวลได้ว่ามีโอกาสที่นักลงทุนอาจขายทำกำไรบางส่วนออกไปบ้าง ส่งผลให้เกิดความผันวผนในตลาดหุ้นไทยเป็นระยะ
หากมองภาพรวมการลงทุนตลาดหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจในการลงทุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของไทยที่จะมาจากการเติบโตการบริโภคของภาคประชาชนภายในประเทศและการลงทุนของภาคเอกชนเป็นหลัก รวมถึงนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังภาวะอุทกภัยครั้งใหญ่ในปีที่ผ่านมา และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับประมาณการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยในปี 2555 จาก 4.9% เป็น 5.7% เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมานั้น เราจึงเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังสามารถที่จะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นได้ ดังนั้นการลงทุนในช่วงเวลานี้นักลงทุนอาจพิจารณาลงทุนในช่วงที่ตลาดหุ้นมีการปรับฐาน โดยมองหาหุ้นที่มีพื้นฐานดีหลายบริษัทที่มีราคาถูกและถือลงทุนในระยะยาว
สำหรับนักลงทุนไทยที่กังวลต่อความผันผวนของตลาดหุ้นไทย แต่ยังมองเห็นโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนในระยะยาว ทาง บลจ.ไอเอ็นจี อยู่ในช่วงระหว่างการเสนอขายกองทุนใหม่ (IPO) ได้แก่ กองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย มิกซ์ 15/85 ปันผล เป็นกองทุนที่มีการบริหารจัดการพอร์ตลงทุนโดยเน้นความมั่นคงและสะสมผลตอบแทน ซึ่งความสม่ำเสมอของผลตอบแทนจะมาจากดอกเบี้ยรับและโอกาสในการปรับเพิ่มขึ้นของราคาของตราสารหนี้ที่เข้าไปลงทุนในสัดส่วนประมาณ 85% ขณะที่โอกาสในการเติบโตของเงินลงทุน จะมาจากมูลค่าเพิ่มของ หน่วยลงทุนซึ่งเกิดจากกำไร หรือเงินปันผลจากการลงทุนในหุ้นในสัดส่วน 15% ซึ่งเป็นระดับความเสี่ยงในการลงทุนที่ไม่มากนัก
โดยกองทุนนี้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอจากการลงทุนในตราสารหนี้ในสัดส่วน 85% และแสวงหาโอกาสในการเติบโตจากการลงทุนในหุ้นในสัดส่วนประมาณ 15% ซึ่งจุดเด่นของกองทุนจะอยู่ที่การปรับพอร์ตการลงทุนหรือ Portfolio Rebalancing โดยเมื่อตราสารทุนหรือหุ้นที่กองทุนเข้าไปลงทุนมีกำไรและสัดส่วนของหุ้นพิ่มขึ้นเกินกว่า 15% ผู้จัดการกองทุนก็จะขายทำกำไร แล้วนำส่วนของกำไรกลับไปลงทุนในตราสารหนี้เพื่อสะสมผลตอบแทน และเพื่อให้สัดส่วนการลงทุนของพอร์ตกลับมาสู่ระดับการลงทุนที่กำหนดไว้ที่ 15/85 ซึ่งจะทำให้นักลงทุนไม่ต้องกังวลกับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้น และ ด้วยวิธีการนี้นอกจากจะทำให้กองทุนมีการสะสมผลตอบแทนอยู่ตลอดเวลาแล้ว ยังจะสนับสนุนให้กองทุนมีการเติบโตอย่างมั่นคงอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เราทำการจำลองวิเคราะห์ผลตอบแทนและความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนด้วยการทำ Back Test Model ย้อนหลัง 10 ปี ภายใต้สมมติฐานที่กำหนด คือ กรอบการลงทุนในตราสารทุน (SET Index) สัดส่วน 15% และตราสารหนี้ (ThaiBMA Government Bond อายุ 3-7 ปี) ในสัดส่วน 85% โดยกำหนดเงื่อนไขของผลตอบแทนจากการลงทุนที่ได้มากกว่า 5% ต่อปีขึ้นไป ภายใต้ความเชื่อมั่นทางค่าสถิติที่ระดับ 95% และผลตอบแทนที่ได้ปรับด้วยความเสี่ยง (Risk Adjusted Return) พบว่าตลอดช่วง 10 ปีนั้น ผลตอบแทนที่ได้อยู่ในช่วงระหว่าง 5.38% - 7.98% ต่อปี ในขณะที่ช่วงเวลาการลงทุนที่เหมาะสมคือ 2 ปี นักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 7.98% ต่อปี การลงทุนจึงเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนจากการลงทุนที่มากกว่าเงินฝากธนาคาร และจำกัดความเสี่ยงในการลงทุนในหุ้นที่ไม่มากนัก
สำหรับกองทุนเปิด ไอเอ็นจี ไทย มิกซ์ 15/85 ปันผล (MIX-D1585)” จะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)ในระหว่างวันที่ 28 มีนาคมถึง 5 เมษายน 2555 นี้
