บลจ.กสิกรไทย เผยผู้ลงทุน K-GOLD ยังเทรดตามทิศทางราคาทองคำ หลังตลาดสิงคโปร์เพิ่มมาตรการจับตาการซื้อขายก่อนปิดตลาดย้ำความโปร่งใส พร้อมส่งผู้ดูแลสภาพคล่องเจ้าไปร่วมทำหน้าที่ซื้อ-ขายก่อนปิดตลาด มั่นใจ ก.ล.ต. และสมาคม บลจ. จะได้ข้อสรุปการคำนวณ NAV ที่สะท้อนราคาทองคำโลกมากที่สุด
นายอำพล โพธิ์โลหะกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า กองทุน K-GOLD ของบลจ. กสิกรไทยยังคงครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดในกลุ่มกองทุนทองคำในอุตสาหกรรม โดย ณ 23 กุมภาพันธ์ 2555 มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ 20,090.37 ล้านบาท สำหรับการทำธุรกรรมของผู้ลงทุนยังคงสะท้อนชัดว่าผู้ลงทุนในปัจจุบันมีความเข้าใจในการจับจังหวะซื้อ-ขายกองทุนทองคำมากขึ้น ส่งผลให้มีแรงขายทำกำไรเป็นระยะตามการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำโลก ขณะเดียวกันในวันที่ราคาทองเริ่มปรับตัวลงก็ยังคงมีการซื้อกองทุนดังกล่าวเข้ามาค่อนข้างหนาแน่นจากผู้ลงทุนที่ยังคงมองเห็นโอกาสในการลงทุนที่น่าสนใจจากแนวโน้มราคาทองคำในอนาคต ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่น่าสนใจสำหรับอุตสาหกรรมกองทุนรวม
สำหรับประเด็นบทวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบจากราคาปิดของกองทุน ETF ทองคำในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ที่ไม่สอดคล้องกับราคาทองคำในตลาดโลกต่อราคา NAV ของกองทุนทองคำของ บลจ. ต่างๆ ในประเทศซึ่งอยู่ในความสนใจในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานั้น กองทุนเปิดเค โกลด์ (K-GOLD) และกองทุนเปิดเค โกลด์เพื่อการเลี้ยงชีพ (KGDRMF) ซึ่งลงทุนในกองทุน SPDR GOLD Trust ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ล้วนมีวิธีการคำนวณ NAV ตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดทุกประการทั้งกฎของ ก.ล.ต. และมาตรฐานการบัญชีที่กำหนดให้ใช้ราคาปิดของตลาดที่มีสภาพคล่องตามมาตรฐานสากลของการคำนวณ NAV กระนั้น บลจ.กสิกรไทยได้มีการชี้แจงถึงประเด็นดังกล่าวกับผู้ลงทุน ตลอดทั้งสอบถามไปยังตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์และติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง
โดยล่าสุดได้ร่วมกับบลจ. ต่างๆ ในการหารือกับตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยแนวทางที่ตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ขานรับ คือ ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้มีการกำหนดให้ผู้ดูแลสภาพคล่องเข้าไปร่วมทำหน้าที่ซื้อ-ขายในช่วงก่อนปิดตลาด (Pre-Close)จากเดิมที่ผู้ดูแลสภาพคล่องจะทำหน้าที่เฉพาะช่วงซื้อ-ขายเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อช่วยดูแลราคาปิดกับมูลค่าหน่วยลงทุนโดยประมาณ (Indicative NAV : iNAV) ของกองทุนซึ่งคาดการณ์จากราคาทองคำในตลาดโลกให้มีค่าใกล้เคียงกันมากที่สุด ซึ่งมาตรการที่เพิ่มเติมเข้ามานี้ แม้จะไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันถึงการแก้ไขปัญหาความแตกต่างดังกล่าวได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่ก็สะท้อนชัดว่าตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อราคาปิดที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางราคาทองคำในตลาดโลกเช่นกัน
นายอำพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ความแตกต่างระหว่าง iNAV กับราคาปิดเป็นผลมาจากความผันผวนของราคาตลาดที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ล่วงหน้า เพราะ iNAV จะคำนวณจากราคาสินทรัพย์ในเวลานั้นๆ ในขณะที่ราคาซื้อขายหรือราคาปิดเกิดจากปริมาณความต้องการซื้อขายที่แท้จริงจากผู้ซื้อและผู้ขายในตลาดหลักทรัพย์ เหตุการณ์ลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นกับกองทุน ETF ในตลาดหุ้นขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องและมีมูลค่าการซื้อขายสูงอย่างในสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมามีกรณีที่ราคาปิดของกองทุน SPDR Gold Trust และ NAV แตกต่างกันถึง 3% ขณะที่ในตลาดสิงคโปร์จะแตกต่างกันโดยเฉลี่ยไม่เกิน 1%
“ในส่วนของกองทุนทองคำในประเทศไทยที่อ้างอิงกับราคาของกองทุนหลักที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ยังคงต้องรอข้อสรุประหว่างสมาคมบริษัทจัดการลงทุน และสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ว่า จะมีแนวทางในการคำนวณมูลค่าหน่วยลงทุนอย่างไร ซึ่งบลจ. กสิกรไทย เชื่อว่าจะได้ข้อสรุปที่เป็นธรรมกับผู้ลงทุน และสามารถมั่นใจได้ว่าจะได้ราคา NAV ที่สะท้อนราคาทองคำโลกมากที่สุด” นายอำพลกล่าว
สำหรับมุมมองต่อการลงทุนในกองทุนทองคำนึ้นเราประเมินว่าการลงทุนกองทุนทองคำยังมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจในระยะยาว ทั้งยังเป็นอีกทางเลือกที่มีสภาพคล่องสูงและสะดวกในการลงทุนสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ส่วนปัจจัยที่จะส่งผลต่อแนวโน้มราคาทองคำยังต้องจับตาเรื่องความตึงเครียดในอ่าวเปอร์เซีย หลังจากอิหร่านหยุดส่งออกน้ำมันไปยังประเทศในแถบยุโรปซึ่งเป็นการโต้ตอบที่ประเทศในยุโรปคว่ำบาตรตนในด้านเศรษฐกิจว่าจะมีการเคลื่อนไหวทางทหารตอบโต้การเคลื่อนไหวของอิหร่าน ซึ่งจะส่งผลให้ทองคำกลับมามีบทบาทความสำคัญอีกครั้งในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยหรือไม่ ขณะเดียวกันการที่นักลงทุนคลายความกังวลต่อปัญหาหนี้ลงหลังจากกลุ่ม EU ได้ให้เงินช่วยเหลือหนี้ของกรีซที่จะครบกำหนดกลางเดือนมีนาคม และส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโรก็จะเป็นอีกปัจจัยที่หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นเช่นกัน โดยกองทุน K-GOLD ยังคงให้โอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจ โดยผลการดำเนินงานย้อนหลัง 1 ปีอยู่ที่ประมาณ 26.41% สูงกว่าผลตอบแทนจากราคาทองคำโลก (Gold London AM) ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 26.35%