"แบงก์ธนชาต"ปัดขายประกันชีวิตในเครือ รอกฤษฏีกาตีความก่อนชี้ชะตา ควบ 2 บ.ประกันชีวิตในเครือหรือไม่ ด้านธนชาต ประกันชีวิตลั่นปีนี้กวาดเบี้ยอีก 9.4 พันล้านบาท หรือโตอีก 30% ส่วนประกันภัยไม่น้อยหน้า ตั้งเป้าเก็บเบี้ยอีก 5.59 พันล้านบาท หรือโตอีก 20% ระบุเน้นเดินหน้าช่องทางสาขา เติบโตพร้อมกับแบงก์แม่เป็นหลัก
นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต จำกัด หรือ TBANK เปิดเผยว่า ธนาคารไม่มีแผนที่จะขายธุรกิจบริษัทประกันชีวิตในเครือธนาคารธนชาต ทั้งในส่วนของบริษัทธนชาต ประกันชีวิต จำกัด และบริษัท ประกันชีวิตนครหลวงไทย จำกัด ออกไปตามที่เป็นข่าวในขณะนี้ เนื่องจาก อัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธุรกิจประกันอยู่ในอัตราที่สูงเกินเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ.กำหนด
ขณะนี้ธนาคารรอความชัดเจนการแก้กฎหมายควบรวมประกันภัยอย่างเป็นทางการเป็นหลัก หากกฎหมายดังกล่าวมีความชัดเจนและประกาศอย่างเป็นทางการ ธนาคารจะใช้แผนควบรวมธุรกิจประกันชีวิตในเครือธนชาตแทน ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวได้ผ่านมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา แต่ยังเหลือขั้นตอนอื่นอีกจึงไม่เสร็จสมบูรณ์
“เรื่องแผนการขายหุ้นที่ถือในธนชาตประกันชีวิตและประกันชีวิตนครหลวงไทยนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดไม่ได้ข้อสรุป และยืนยันว่ายังไม่ได้มีการติดต่อหรือเจรจากับกลุ่มอาคเนย์ตามที่มีข่าว สำหรับการควบรวมกิจการธุรกิจประกันชีวิตนั้น รับว่ามีปัญหามากและอยู่ระหว่างที่กระทรวงการคลังกำลังออกกฏหมายควบรวมกิจการ ซึ่งเรื่องนี้นายประเวช ององจสิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยหรือคปภ.ทราบเรื่องดี” นายสมเจต กล่าว
**ลั่นกวาดเบี้ยโตตามแบงก์**
ด้านนายวิจักษณ์ ประดิษฐวณิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนชาตประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า จากกระแสข่าวที่บริษัทอาคเนย์ให้ความสนใจเข้าซื้อกิจการประกันชีวิตของเครือธนชาตคงไม่สามารถตอบรายละเอียดได้ ซึ่งเรื่องนี้ทางธนาคารธนชาตจะสามารถให้คำตอบได้ดีที่สุด ขณะที่การควบรวมกิจการกับบริษัทนครหลวงประกันชีวิต ซึ่งเป็นบริษัทในเครือนั้นคงยังไม่เกิดขึ้น เนื่องจากมีต้นทุนทางภาษีที่สูงอยู่
"ตอนนี้ต่างคนก็ต่างดูสินค้าคนละแบบ ซึ่งทางนครหลวงฯ เขาจะดูในส่วนของประกันกลุ่มเป็นหลัก ขณะที่สินค้าที่เกี่ยวข้องกับความคุ้มครองจะให้ทางธนชาตประกันชีวิตเป็นผู้ดูแล ซึ่งจะรวมกันหรือไม่จะขึ้นอยู่กับความคืบน่าทางภาษี ถึงแม้จะผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเรื่องภาษีรายได้ที่เกิดจากการควบรวมของบริษัทประกันชีวิตแล้ว แต่ยังต้องผ่านขั้นตอนในการตีความของกฤษฏีกาก่อนที่จะประกาศใช้ได้ และคงจะเป็นเรื่องที่จะต้องดูกันต่อไป"นายวิจักษณ์กล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จตามเป้าคือมีเบี้ยรับรวมของทั้งธุรกิจประกันชีวิตและประกันภัยรวมกันถึง 1.2 หมื่นล้านบาทหรือเติบโตขึ้น 20% โดยในส่วนของธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยรับรวม 7.2 พันล้านบาท และมีผลกำไรกว่า 700 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีสินทรัพย์รวมกว่า 2.26 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ในปีนี้(2555) บริษัทตั้งเป้าเบี้ยรับรวมเอาไว้ที่ 9.4 พันล้านบาทหรือเติบโตขึ้น 30% ซึ่งจะยังคงเน้นการขายผ่านช่องทางแบงก์แอสชัวร์รันส์เป็นหลัก พร้อมรักษาความเป็นผู้นำในระดับท็อปไฟว์ ของเบี้ยประกันภัยรับรวมในช่องทางนี้
"ปีที่ผ่านมาเราขายผ่านแบงก์กว่า 6.4 พันล้านบาท ส่วนในปีนี้เราคงจะเน้นการเติบโตในช่องทางนี้อยู่ด้วยการเติบโตควบคู่ไปกับแบงก์แม่ที่มีความแข็งแกร่งในด้านการเช่าซื้อ เอสเอ็มอี และสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นต้น"นายวิจักษณ์กล่าว
ด้าน นายพีระพัฒน์ เมฆสิงห์วี กรรมการผู้จัดการ บริษัทธนชาติประกันภัย จำกัด กล่าวว่า ในส่วนของบริษัทประกันภัยในปีที่ผ่านมาสามารถมีกำไรหลังจากปรับผลกระทบน้ำท่วมแล้ว 442 ล้านบาท ส่วนในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตที่ 20% และมีเบี้ยรับรวมที่ประมาณ 5.59 พันล้านบาท โดยจะเน้นในส่วนของลูกค้ารายย่อยเป็นหลัก และการปรับบริการหลังการขายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สำหรับนโยบายของกลุ่มธุรกิจประกันในเครือธนชาตยังคงเน้นการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการ รวมถึงการเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงบริการผ่านสาขาของธนาคารเป็นหลัก
ทั้งนี้ การที่ธนาคารธนชาตควบรวมได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่งผลให้มีสาขามากถึง 660 สาขาทั่วประเทศจะทำให้บริการลูกค้าได้ทั่วถึงมากขึ้น นอกจากนี้ ภาคธุรกิจประกันชีวิตและวินาศภัยในปีนี้น่าจะสามารถเติบโตถึง 15% เนื่องจากเกิดเหตุอุทกภัย และภัยธรรมชาติอื่นๆ ทำให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการประกันชีวิตและประกันภัยมากขึ้นจนเป็นผลดีต่อบริษัท
นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต จำกัด หรือ TBANK เปิดเผยว่า ธนาคารไม่มีแผนที่จะขายธุรกิจบริษัทประกันชีวิตในเครือธนาคารธนชาต ทั้งในส่วนของบริษัทธนชาต ประกันชีวิต จำกัด และบริษัท ประกันชีวิตนครหลวงไทย จำกัด ออกไปตามที่เป็นข่าวในขณะนี้ เนื่องจาก อัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของธุรกิจประกันอยู่ในอัตราที่สูงเกินเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ.กำหนด
ขณะนี้ธนาคารรอความชัดเจนการแก้กฎหมายควบรวมประกันภัยอย่างเป็นทางการเป็นหลัก หากกฎหมายดังกล่าวมีความชัดเจนและประกาศอย่างเป็นทางการ ธนาคารจะใช้แผนควบรวมธุรกิจประกันชีวิตในเครือธนชาตแทน ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวได้ผ่านมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา แต่ยังเหลือขั้นตอนอื่นอีกจึงไม่เสร็จสมบูรณ์
“เรื่องแผนการขายหุ้นที่ถือในธนชาตประกันชีวิตและประกันชีวิตนครหลวงไทยนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดไม่ได้ข้อสรุป และยืนยันว่ายังไม่ได้มีการติดต่อหรือเจรจากับกลุ่มอาคเนย์ตามที่มีข่าว สำหรับการควบรวมกิจการธุรกิจประกันชีวิตนั้น รับว่ามีปัญหามากและอยู่ระหว่างที่กระทรวงการคลังกำลังออกกฏหมายควบรวมกิจการ ซึ่งเรื่องนี้นายประเวช ององจสิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยหรือคปภ.ทราบเรื่องดี” นายสมเจต กล่าว
**ลั่นกวาดเบี้ยโตตามแบงก์**
ด้านนายวิจักษณ์ ประดิษฐวณิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนชาตประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า จากกระแสข่าวที่บริษัทอาคเนย์ให้ความสนใจเข้าซื้อกิจการประกันชีวิตของเครือธนชาตคงไม่สามารถตอบรายละเอียดได้ ซึ่งเรื่องนี้ทางธนาคารธนชาตจะสามารถให้คำตอบได้ดีที่สุด ขณะที่การควบรวมกิจการกับบริษัทนครหลวงประกันชีวิต ซึ่งเป็นบริษัทในเครือนั้นคงยังไม่เกิดขึ้น เนื่องจากมีต้นทุนทางภาษีที่สูงอยู่
"ตอนนี้ต่างคนก็ต่างดูสินค้าคนละแบบ ซึ่งทางนครหลวงฯ เขาจะดูในส่วนของประกันกลุ่มเป็นหลัก ขณะที่สินค้าที่เกี่ยวข้องกับความคุ้มครองจะให้ทางธนชาตประกันชีวิตเป็นผู้ดูแล ซึ่งจะรวมกันหรือไม่จะขึ้นอยู่กับความคืบน่าทางภาษี ถึงแม้จะผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเรื่องภาษีรายได้ที่เกิดจากการควบรวมของบริษัทประกันชีวิตแล้ว แต่ยังต้องผ่านขั้นตอนในการตีความของกฤษฏีกาก่อนที่จะประกาศใช้ได้ และคงจะเป็นเรื่องที่จะต้องดูกันต่อไป"นายวิจักษณ์กล่าว
ทั้งนี้ ในส่วนของผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จตามเป้าคือมีเบี้ยรับรวมของทั้งธุรกิจประกันชีวิตและประกันภัยรวมกันถึง 1.2 หมื่นล้านบาทหรือเติบโตขึ้น 20% โดยในส่วนของธุรกิจประกันชีวิตมีเบี้ยรับรวม 7.2 พันล้านบาท และมีผลกำไรกว่า 700 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีสินทรัพย์รวมกว่า 2.26 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ในปีนี้(2555) บริษัทตั้งเป้าเบี้ยรับรวมเอาไว้ที่ 9.4 พันล้านบาทหรือเติบโตขึ้น 30% ซึ่งจะยังคงเน้นการขายผ่านช่องทางแบงก์แอสชัวร์รันส์เป็นหลัก พร้อมรักษาความเป็นผู้นำในระดับท็อปไฟว์ ของเบี้ยประกันภัยรับรวมในช่องทางนี้
"ปีที่ผ่านมาเราขายผ่านแบงก์กว่า 6.4 พันล้านบาท ส่วนในปีนี้เราคงจะเน้นการเติบโตในช่องทางนี้อยู่ด้วยการเติบโตควบคู่ไปกับแบงก์แม่ที่มีความแข็งแกร่งในด้านการเช่าซื้อ เอสเอ็มอี และสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นต้น"นายวิจักษณ์กล่าว
ด้าน นายพีระพัฒน์ เมฆสิงห์วี กรรมการผู้จัดการ บริษัทธนชาติประกันภัย จำกัด กล่าวว่า ในส่วนของบริษัทประกันภัยในปีที่ผ่านมาสามารถมีกำไรหลังจากปรับผลกระทบน้ำท่วมแล้ว 442 ล้านบาท ส่วนในปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตที่ 20% และมีเบี้ยรับรวมที่ประมาณ 5.59 พันล้านบาท โดยจะเน้นในส่วนของลูกค้ารายย่อยเป็นหลัก และการปรับบริการหลังการขายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สำหรับนโยบายของกลุ่มธุรกิจประกันในเครือธนชาตยังคงเน้นการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการ รวมถึงการเพิ่มความสะดวกในการเข้าถึงบริการผ่านสาขาของธนาคารเป็นหลัก
ทั้งนี้ การที่ธนาคารธนชาตควบรวมได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่งผลให้มีสาขามากถึง 660 สาขาทั่วประเทศจะทำให้บริการลูกค้าได้ทั่วถึงมากขึ้น นอกจากนี้ ภาคธุรกิจประกันชีวิตและวินาศภัยในปีนี้น่าจะสามารถเติบโตถึง 15% เนื่องจากเกิดเหตุอุทกภัย และภัยธรรมชาติอื่นๆ ทำให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการประกันชีวิตและประกันภัยมากขึ้นจนเป็นผลดีต่อบริษัท