บลจ.กสิรไทยลั่นยึดเบอร์ 1 ธุรกิจกองทุนรวมต่อ ปีมังกรดันAUMแตะ 9 แสนล้าน เน้นตอบโจทย์ลูกค้าคิดบวกจัดสรรพอร์ตผ่านกองทุนของบริษัท พร้อมร่วมมือกับสาขาแบงก์ขายของมากขึ้น ยอมรับปีนี้งานหินเจอแบงก์ระดมเงินฝากอีกแน่ แต่มีภาษีและพรบ.คุ้มครองเงินฝากช่วยหนุน ด้านผู้จัดการกองทุนชี้หุ้นไทยทั้งปีผันผวน เคลื่อไหวในกรอบ 1,050-1200 จุด
นายอำพล โพธิ์โลหะกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทยังตั้งเป้าที่จะครองส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับ 1 ของธุรกิจกองทุนรวมต่อไป โดยตั้งเป้าการขยายตัวในปี 2555 ที่ 22% หรือเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) ให้ได้ถึง 9 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ แบ่งเป็นการเติบโตของกองทุนรวมประมาณ 29% กองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนส่วนบุคคลเติบโตที่ 15% และ 10% โดยในปีนี้บริษัทจะเน้นกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้แนวคิด“กองทุนกสิกรไทย...กองทุนสำหรับคนคิดบวก” โดยมุ่งตอบโจทย์ของลูกค้าที่ต้องการสร้างความมั่งคั่ง ควบคู่กับความมั่นคงทางอนาคตการเงิน ด้วยผลิตภัณฑ์กองทุนที่พร้อมจัดสรรเงินลงทุน (Asset Allocation) และกระจายการลงทุน (Asset Diversification)
นอกจากนี้ยังเน้นการทำงานร่วมกับสาขาของธนาคารกสิกรไทยและลูกค้ารายย่อยมากขึ้น โดยเฉพาะลูกค้ารายย่อยซึ่งจะต้องได้รับคำปรึกษาการลงทุนจากสาขาของธนาคารเพื่อความเข้าใจในการลงทุนและสินค้าที่นำเสนอได้เป็นอย่างดี
นายอำพล กล่าวอีกว่า ในปีที่ผ่านมาธุรกิจกองทุนรวมได้รับผลกระทบในหลายด้าน รวมถึงการระดมเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ แต่บริษัทยังสามารถรักษาการเติบโตได้สูงกว่าอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาบริษัทเติบโตที่ 16% ในขณะที่อุตสาหกรรมกองทุนขยายตัวเพียง 4%
สำหรับในปีนี้ บริษัทคาดว่าธนาคารพาณิชย์ยังคงที่จะมีการระดมเงินฝากเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นโจทย์ยากที่ทางบริษัทจำเป็นต้องหาสินค้าเพื่อตอบสนองหรือแข่งกับดอกเบี้ยเงินฝากด้วยเช่นกัน แต่เชื่อว่าคงจะไม่ทับซ้อนกับของธนาคารกสิกรไทยเพียงแต่แบ่งช่วงเวลาและการทำตลาดให้เหมาะสม ซึ่งที่ผ่านมากองทุนประเภทตราสารหนี้ถือว่าเป็นแรงขับเคลื่อนของบริษัท และหลังจากนี้บริษัทจะยังคงให้ความสำคัญกับกองทุนประเภทนี้ควบคู่ไปกับกองทุนประเภทอื่นด้วย
"ปีนี้ผมเข้ามาก็ถือว่าเจอเรื่องของการเรียกเก็บอัตรานำส่งของสถาบันการเงินเพิ่ม ซึ่งฐานเงินฝากก็น่าจะต้องถูกดึงเงินเข้ามามากขึ้น และบลจ.ก็น่าจะได้รับผลกระทบ แต่ก็ยังมีตัวของพรบ.คุ้มครองเงินฝากที่จะมีผลในเดือนสิงหาคม และสิทธิ์ทางภาษีเป็นตัวช่วยหนุนก็น่าจะมีโอกาสในการทำตลาดที่ต่างกัน ซึ่งเราคงต้องให้ความรุ้แก่ลูกค้าด้วย"นายอำพลกล่าว
ด้านนายประเสริฐ ขนบธรรมชัย รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ คาดว่า น่าจะเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 1,050-1,200จุด ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่ใกล้เคียงกับช่วงปีที่ผ่านมา โดยภาวะการลงทุนยังคงมีความผันผวนต่อเนื่อง ซึ่งมาจากปัจจัยลบจากนอกประทศ โดยเฉพาะปัญหาวิกฤติที่เกิดขึ้นในแถบประเทศยุโรป ที่สถานการณ์ไร้ทางแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมในขณะนี้ แม้ว่า ในช่วงที่ผ่านมาจะมีแนวทางแก้ไขปัญหาอยู่ตลอดเวลาก็ตาม แต่ยังไม่เป็นผลสำเร็จแต่อย่างไร
ดังนั้น นักลงทุนควรที่จะต้องจับตามองปัจจัยลบดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการตัดสินใจลงทุน เพราะเป็นที่แน่นอนว่า หากสถานการณ์ไม่ดีขึ้นความเสี่ยงจากการลงทุนก็มีมากขึ้นเช่นกัน แต่ทั้งนี้ ไม่ว่าสถานการณ์ปัญหาที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศยังคงไหลเข้ามาลงทุนในตลาดเอเชียและตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นเอเชียมีปัจจัยบวกที่สนับสนุนการลงทุนค่อนข้างดีมาก
สำหรับกลุ่มหลักทรัพย์ที่เหมาะแก่การเข้าลงทุนช่วงนี้ มองว่าหุ้นกลุ่มพลังงานและหุ้นกลุ่มอุปโภคบริโภค เป็นกลุ่มหลักทรัพย์ที่เหมาะแก่การเข้าลงทุนมากที่สุด โดยหุ้นกลุ่มพลังงานจะยังคงมีปัจจัยเรื่องสงครามอิหร่าน ส่วนหุ้นกลุ่มอุปโภคและบริโภค ยังคงได้รับปัจจัยบวกจากจับจ่ายใช้สอยภายในประเทศค่อนข้างมาก