xs
xsm
sm
md
lg

จับจังหวะการลงทุนในตลาดหุ้นจีน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

รูปประกอบ
คอลัมน์Wealth Manager Talk
โดยคมศร ประกอบผล, AFPTM
Wealth Manager
บลจ. ทิสโก้ จำกัด

เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เราได้เขียนถึงภาวะเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศจีนมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งเราสรุปว่าเศรษฐกิจจีนนั้นมีพื้นฐานดี มีฐานะการคลังแข็งแกร่ง โดยมีระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP เพียง 20% และมีศักยภาพในการเติบโตสูง จากปัจจัยที่เอื้อต่อการเติบโตในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น ตลาดในประเทศขนาดใหญ่ที่มาพร้อมกับกำลังซื้อที่เติบโตอย่างรวดเร็ว แรงงานที่มีคุณภาพ ทรัพยากรมูลค่ามหาศาล ฐานะการคลังที่แข็งแกร่ง รวมถึงเสถียรภาพทางการเมืองและความคล่องตัวในการใช้นโยบายการเงินและการคลัง แต่ประเด็นหลักที่ยังสร้างความกังวลให้นักลงทุนคืออัตราเงินเฟ้อที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากราคาอาหารและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้นตามการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ร้อนแรงอย่างต่อเนื่องของจีน

ทางการจีนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และได้ทยอยออกมาตรการควบคุมเงินเฟ้อมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขึ้นดอกเบี้ยและเพิ่มปริมาณเงินสำรองของธนาคาร (Reserve Requirement Ratio) การกำหนดโควต้าการปล่อยสินเชื่อ การควบคุมตลาดอสังหาริมทรัพย์ และการเพิ่มปริมาณสินค้าเกษตรที่ขาดแคลน เป็นต้น มาตรการดังกล่าวส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของจีนปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงไตรมาสที่สามของปีนี้ โดยอัตราเงินเฟ้อปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุดในเดือนกรกฎาคม ที่ 6.5% yoy ลงสู่ระดับ 5.5% yoy ในเดือนตุลาคม

นอกจากนั้นราคาอาหารในจีนยังคงมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเริ่มกลับสู่ระดับต่ำกว่า 4% ซึ่งเป็นระดับเงินเฟ้อเป้าหมายของธนาคารกลางจีนได้ในปีหน้า เงินเฟ้อที่ปรับตัวลดลงจะทำให้ธนาคารกลางจีนสามารถดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายขึ้น (เช่นการลดดอกเบี้ยและลดปริมาณเงินสำรองของธนาคาร) เพื่อกระตุ้นการปล่อยกู้และสนับการเติบโตทางเศรษฐกิจให้อยู่ในระดับ 8-9% ได้ในปี 2012-2013 (Soft Landing)

(ดูรูปประกอบ)

หันมาดูทางด้านตลาดหุ้นกันบ้าง ดัชนี Hang Seng China Enterprise (H-shares) ในปัจจุบันซื้อขายกันที่ราคาถูกมาก โดยพิจารณาจากระดับ P/E และ P/BV พบว่าราคาหุ้นจีนอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี หรือ มีระดับ P/E และ P/BV ที่ 7.1x และ 1.2x ตามลำดับ หรือหากเทียบกับดัชนีในภูมิภาคเช่น ดัชนี MSCI Asia Pacific ex Japan ซึ่ง P/E และ P/BV อยู่ที่ 9.5x และ 1.3x และดัชนี SET ของไทย ซึ่ง P/E และ P/BV อยู่ที่ 10x และ 1.6x ตามลำดับ หุ้นจีนก็ยังถูกว่าหุ้นในภูมิภาคอยู่ประมาณ 25% โดยเฉลี่ย

หากพิจารณาจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจและศักยภาพในการเติบโตของจีน ประกอบกับราคาหุ้นที่อยู่ในระดับต่ำแล้ว เราเชื่อว่าหุ้นจีนน่าจะกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีในช่วง 12 เดือนข้างหน้า และแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นจีนที่ยังมีอนาคตสดใส ในขณะที่ราคายังถูกในช่วงปลายปีนี้ โดยนักลงทุนสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างประเทศ ที่ไปลงทุนในหุ้นจีน ที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง (H-shares) เพราะโอกาสที่หุ้นจีนจะปรับตัวลงมาถูกกว่าหุ้นเอเชียและหุ้นไทยนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก
กำลังโหลดความคิดเห็น