ทิพยประกันภัย โชว์ผลงานงวด 9 เดือน เบี้ยประกันภัยรับรวมทะลุ 8 พันล้าน ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนกว่า 35% ผู้บริหาร “สมพร สืบถวิลกุล” มั่นใจทั้งปีโตตามเป้าที่ตั้งไว้ขยายตัว 40% หรือ 1.4 หมื่นล้านบาท พร้อมประกาศเดินหน้าสำรวจความเสียหายจากอุทกภัย หวังชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ประสบภัยได้โดยเร็วและเป็นธรรม เพื่อเป็นส่วนช่วยให้คนไทยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ ระบุเบื้องต้นเสียหายแค่ 300 ล้านบาท
นายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2554 ว่า บริษัทฯยังมีผลการดำเนินงานที่ขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 2,463.49 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 1,796.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 666.61 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัว 37.10%
โดยเบี้ยประกันภัยรับ ประกอบด้วย ประกันอัคคีภัย 229.09 ล้านบาท ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง 58.67 ล้านบาท ประกันภัยรถยนต์ 812.63 ล้านบาท ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล 767.36 ล้านบาท และประกันภัยเบ็ดเตล็ด 595.74 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานสะสมรวม 9 เดือน (1 ม.ค.-30 ก.ย.) นั้น เบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งสิ้น 8,038.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 2,127.42 ล้านบาท หรือคิดเป็น 35.99% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 5,911.41 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นการรับประกันอัคคีภัย 794.75 ล้านบาท ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง 165.15 ล้านบาท ประกันภัยรถยนต์ 1,962.56 ล้านบาท ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล 2,437.98 ล้านบาท และประกันภัยเบ็ดเตล็ด 2,678.38 ล้านบาท
นายสมพร กล่าวเพิ่มเติมว่า เบี้ยประกันภัยรับของบริษัทฯ ขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ดีและเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในปี 2554 นี้ บริษัทได้ตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยไว้ที่ 14,000 ล้านบาท หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 40% ตามแผนงานด้านการขยายฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า
ส่วนผลกระทบที่คาดว่าจะได้รับจากเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่นี้ นายสมพร กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ประเมินความเสียหายจากน้ำท่วมครั้งนี้ประมาณ 6,000 พันล้านบาท แบ่งเป็นการรับประกันภัยโรงงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วมทั้ง 7 แห่ง จำนวน 4,000 พันล้านบาท และประกันภัยรถยนต์และอื่นๆ อีกประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยบริษัทฯต้องรับผิดชอบความเสียหายเพียง 300 ล้านบาท ส่วนที่เหลือได้ส่งประกันต่อไปยังบริษัทประกันภัยในต่างประเทศ
“เบื้องต้นความเสียหายที่ทิพยประกันภัย ต้องรับผิดชอบอยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาท จากความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด 6,000 ล้านบาท เพราะที่เหลือได้ส่งประกันภัยต่อไปยังบริษัทต่างประเทศ ซึ่งความเสียที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของบริษัทฯแต่อย่างใด เนื่องจากฐานะการเงินของบริษัทฯยังมีความมั่งคงและแข็งแกร่ง ซึ่งจะสามารถรองรับความเสียหายที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้” นายสมพร กล่าว
สำหรับมาตรการความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมนั้น นายสมพร กล่าวว่า บริษัทฯ มีความเป็นห่วงลูกค้าที่มีกรมธรรม์กับบริษัทฯ ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในนิคมฯ ต่างๆ ที่ได้รับความเสียหาย รวมถึงลูกค้ารายย่อยที่ทำประกันทุกประเภท ดังนั้นหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมลดลงเข้าสู่ภาวะปกติ บริษัทฯจึงมีนโยบายที่จะดำเนินการสำรวจความเสียหายอย่างเร่ง
ด่วน เพื่อให้การจ่ายค่าสินไหมทดแทนสามารถดำเนินการได้ทันทีรวดเร็วและเป็นธรรม
“บริษัทฯ จะเร่งจ่ายค่าสินไหมให้แก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการที่เอาประกันสามารถนำเงินไปฟื้นฟูฯ กิจการและดำเนินธุรกิจต่อได้ในเวลาที่รวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคอุตสาหกรรม ภาคแรงงาน และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ รวมถึงผู้เอาประกันประเภทอื่นทั้งที่อยู่อาศัย หรือรถยนต์ ที่จะนำไปปรับปรุงซ่อมแซม ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเช่นเดิม” นายสมพร กล่าว
นายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2554 ว่า บริษัทฯยังมีผลการดำเนินงานที่ขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน โดยมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 2,463.49 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 1,796.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 666.61 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการขยายตัว 37.10%
โดยเบี้ยประกันภัยรับ ประกอบด้วย ประกันอัคคีภัย 229.09 ล้านบาท ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง 58.67 ล้านบาท ประกันภัยรถยนต์ 812.63 ล้านบาท ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล 767.36 ล้านบาท และประกันภัยเบ็ดเตล็ด 595.74 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานสะสมรวม 9 เดือน (1 ม.ค.-30 ก.ย.) นั้น เบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งสิ้น 8,038.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 2,127.42 ล้านบาท หรือคิดเป็น 35.99% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 5,911.41 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นการรับประกันอัคคีภัย 794.75 ล้านบาท ประกันภัยทางทะเลและขนส่ง 165.15 ล้านบาท ประกันภัยรถยนต์ 1,962.56 ล้านบาท ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล 2,437.98 ล้านบาท และประกันภัยเบ็ดเตล็ด 2,678.38 ล้านบาท
นายสมพร กล่าวเพิ่มเติมว่า เบี้ยประกันภัยรับของบริษัทฯ ขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ที่ดีและเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยในปี 2554 นี้ บริษัทได้ตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยไว้ที่ 14,000 ล้านบาท หรือขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 40% ตามแผนงานด้านการขยายฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า
ส่วนผลกระทบที่คาดว่าจะได้รับจากเหตุอุทกภัยครั้งใหญ่นี้ นายสมพร กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ประเมินความเสียหายจากน้ำท่วมครั้งนี้ประมาณ 6,000 พันล้านบาท แบ่งเป็นการรับประกันภัยโรงงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมที่ถูกน้ำท่วมทั้ง 7 แห่ง จำนวน 4,000 พันล้านบาท และประกันภัยรถยนต์และอื่นๆ อีกประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยบริษัทฯต้องรับผิดชอบความเสียหายเพียง 300 ล้านบาท ส่วนที่เหลือได้ส่งประกันต่อไปยังบริษัทประกันภัยในต่างประเทศ
“เบื้องต้นความเสียหายที่ทิพยประกันภัย ต้องรับผิดชอบอยู่ที่ประมาณ 300 ล้านบาท จากความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด 6,000 ล้านบาท เพราะที่เหลือได้ส่งประกันภัยต่อไปยังบริษัทต่างประเทศ ซึ่งความเสียที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินของบริษัทฯแต่อย่างใด เนื่องจากฐานะการเงินของบริษัทฯยังมีความมั่งคงและแข็งแกร่ง ซึ่งจะสามารถรองรับความเสียหายที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ได้” นายสมพร กล่าว
สำหรับมาตรการความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมนั้น นายสมพร กล่าวว่า บริษัทฯ มีความเป็นห่วงลูกค้าที่มีกรมธรรม์กับบริษัทฯ ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในนิคมฯ ต่างๆ ที่ได้รับความเสียหาย รวมถึงลูกค้ารายย่อยที่ทำประกันทุกประเภท ดังนั้นหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมลดลงเข้าสู่ภาวะปกติ บริษัทฯจึงมีนโยบายที่จะดำเนินการสำรวจความเสียหายอย่างเร่ง
ด่วน เพื่อให้การจ่ายค่าสินไหมทดแทนสามารถดำเนินการได้ทันทีรวดเร็วและเป็นธรรม
“บริษัทฯ จะเร่งจ่ายค่าสินไหมให้แก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม เพื่อให้ผู้ประกอบการที่เอาประกันสามารถนำเงินไปฟื้นฟูฯ กิจการและดำเนินธุรกิจต่อได้ในเวลาที่รวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคอุตสาหกรรม ภาคแรงงาน และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ รวมถึงผู้เอาประกันประเภทอื่นทั้งที่อยู่อาศัย หรือรถยนต์ ที่จะนำไปปรับปรุงซ่อมแซม ให้สามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุขเช่นเดิม” นายสมพร กล่าว