ASTVผู้จัดการรายวัน - "ทิสโก้" มองหุ้นไทยยังผันผวน หลังเศรษฐกิจโลกยังน่าห่วง แต่ยังมั่นใจ อานิสงส์กำไรบจ.สูง และเงินไหลเข้าเอเชีย ดันดัชนีหุ้นไทยลงมาไปถึงกรอบ 1,100 - 1,150 จุดได้ ช่วงดัชนีต่ำกว่า 1,000 จุด แนะทยอยเข้าลงทุน
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยรายงานมุมมองการลงทุนของตลาดหุ้นไทยของ TISCO WEALTH ว่า สถานการณ์โดยรวมในช่วงนี้ เห็นว่าอยู่ในภาวะความวิตกกังวลของนักลงทุน โดยสาเหตุหลักมาจากแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซที่ยังไม่ชัดเจน และยังคงต้องจับตาดูว่ากรีซจะสามารถดำเนินมาตรการรัดเข็มขัดทางนโยบายการคลังได้ตามแผนที่กำหนดหรือไม่ โดยเป้าหมายที่กรีซจะต้องลดการขาดดุลให้ได้ คือประมาณ 7.6% ของ GDP ปี 2011 แต่ ณ ปัจจุบันระดับการขาดดุลของกรีซอยู่ที่ประมาณ 8.6% ของ GDP ซึ่งยังคงสูงกว่าเป้าหมายอยู่อีกประมาณ 1% รวมถึงแผนเงินกองทุนช่วยเหลือ ESFS ที่ยังคงไม่แล้วเสร็จ แต่ TISCO WEALTH คาดว่าแผนช่วยเหลือดังกล่าวจะสามารถแล้วเสร็จในเดือนต.ค. 2011
ทั้งนี้ ในส่วนของ SET Index ยังคงมีแนวโน้มผันผวนในช่วงนี้ จากความกังวลของนักลงทุน เนื่องจากปัจจัยภายนอกประเทศจะมีอิทธิพลต่อตลาดมากกว่าปัจจัยภายในประเทศ จำเป็นต้องจับตามองตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และแผนดำเนินนโยบายการคลัง (Fiscal Plan) ในเดือนธันวาคม รวมทั้งการสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มยูโรโซน อย่างไรก็ตาม TISCO WEALTH ยังคาดดัชนีฯจะฟื้นตัวขึ้น จากปัจจัยบวกภายในประเทศและภายในภูมิภาคเอเชียตั้งแต่ช่วงกลางไตรมาส 4 เป็นต้นไป PE ปี 2011 อยู่ที่ระดับ 11 เท่า SET Target ปี 2011 อยู่ที่ระดับ 1,100 - 1,150 จุด ปรับลดลงจากเดิมที่ 1,150 - 1,200 จุด จากการปรับลด Market EPS ที่สะท้อนการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ขณะเดียวกัน TISCO WEALTH ยังไม่มีมุมมองว่าจะเกิด Global Recession คาดว่าสุดท้ายแล้ว EU จะต้องช่วยเหลือกรีซให้ผ่านพ้นวิกฤติไปได้ ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ TISCO WEALTH มองว่าจะเติบโตในลักษณะของ L-shaped คือ ไม่ได้ขยายตัวมาก แต่ยังไม่ได้ถึงขั้นตกต่ำ แนะนำการลงทุนในภาวะตลาดผันผวนในช่วงเวลานี้ ต้องมองเป็นการลงทุนระยะยาว อย่างน้อย 6 เดือน - 1 ปีข้างหน้า และถือเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดีและราคาถูก เช่น หากเปรียบเทียบการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ก่อนวิกฤติ Subprime 2008 (ก.ค. 2008) จนถึงปัจจุบัน คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 40% แต่หากคิดผลตอบแทนการลงทุนจากช่วงวิกฤติ (ส.ค. 2008) จนถึงปัจจุบัน จะได้ผลตอบแทนมากถึง 180%
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยเองยังมีปัจจัยสนับสนุนการลงทุนหลายประการ ทั้งการขยายตัวของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในระดับสูง 21% สำหรับปี 2011 และ 15% สำหรับปี 2012 ในขณะที่อัตราการเติบโตของ EPS ปี 2011 เฉลี่ยของภูมิภาคอยู่ที่ 11% ในขณะที่เศรษฐกิจขยายตัวในระดับปกติ คาดเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ดีใน 2H11 เมื่อปัญหา supply chains เริ่มคลี่คลายลง และจะขยายตัวร้อยละ 4 - 5 ในช่วงปี 2011 - 2012 รวมถึงการฟื้นตัวภาคการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน จากนโยบายกระตุ้นของรัฐบาลด้วยเม็ดเงินกว่า 2 ล้านล้านบาท ในช่วง 5 ปีข้างหน้า อีกทั้งสัดส่วนการส่งออกของไทยในปัจจุบันจะอยู่ภายในทวีปเอเชียด้วยกันเป็นหลัก จึงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวของ US และยุโรปไม่มากนัก
นอกจากนี้ จากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในเอเชีย ในขณะที่ความเสี่ยงของการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปมีมากขึ้น ตลาดหุ้นในเอเชียจึงมีแนวโน้มที่จะ outperform ตลาด Developed markets ประกอบกับมูลค่าหุ้นที่ถูกของหุ้นตลาดเอเชีย รวมถึงหุ้นไทย โดยปกติค่าเฉลี่ย P/E ratio ของภูมิภาคเท่ากับ 14 เท่า แต่ในปัจจุบัน P/E Ratio ของตลาด Asia Pacific ex Japan และไทย อยู่ที่ 10.4 เท่า นอกเหนือจากนั้น คาดว่าจะมีเม็ดเงินจากกองทุน LTF และ RMF ที่โดยปกติจะเข้ามาช่วงไตรมาสที่ 4 จะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยด้วย
โดยกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ TISCO WEALTH แนะนำให้ทยอยเข้าลงทุน เมื่อดัชนีฯ ปรับฐานลงระดับต่ำกว่า 1,000 จุด
บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยรายงานมุมมองการลงทุนของตลาดหุ้นไทยของ TISCO WEALTH ว่า สถานการณ์โดยรวมในช่วงนี้ เห็นว่าอยู่ในภาวะความวิตกกังวลของนักลงทุน โดยสาเหตุหลักมาจากแนวทางแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะของกรีซที่ยังไม่ชัดเจน และยังคงต้องจับตาดูว่ากรีซจะสามารถดำเนินมาตรการรัดเข็มขัดทางนโยบายการคลังได้ตามแผนที่กำหนดหรือไม่ โดยเป้าหมายที่กรีซจะต้องลดการขาดดุลให้ได้ คือประมาณ 7.6% ของ GDP ปี 2011 แต่ ณ ปัจจุบันระดับการขาดดุลของกรีซอยู่ที่ประมาณ 8.6% ของ GDP ซึ่งยังคงสูงกว่าเป้าหมายอยู่อีกประมาณ 1% รวมถึงแผนเงินกองทุนช่วยเหลือ ESFS ที่ยังคงไม่แล้วเสร็จ แต่ TISCO WEALTH คาดว่าแผนช่วยเหลือดังกล่าวจะสามารถแล้วเสร็จในเดือนต.ค. 2011
ทั้งนี้ ในส่วนของ SET Index ยังคงมีแนวโน้มผันผวนในช่วงนี้ จากความกังวลของนักลงทุน เนื่องจากปัจจัยภายนอกประเทศจะมีอิทธิพลต่อตลาดมากกว่าปัจจัยภายในประเทศ จำเป็นต้องจับตามองตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และแผนดำเนินนโยบายการคลัง (Fiscal Plan) ในเดือนธันวาคม รวมทั้งการสร้างความเชื่อมั่นในกลุ่มยูโรโซน อย่างไรก็ตาม TISCO WEALTH ยังคาดดัชนีฯจะฟื้นตัวขึ้น จากปัจจัยบวกภายในประเทศและภายในภูมิภาคเอเชียตั้งแต่ช่วงกลางไตรมาส 4 เป็นต้นไป PE ปี 2011 อยู่ที่ระดับ 11 เท่า SET Target ปี 2011 อยู่ที่ระดับ 1,100 - 1,150 จุด ปรับลดลงจากเดิมที่ 1,150 - 1,200 จุด จากการปรับลด Market EPS ที่สะท้อนการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ขณะเดียวกัน TISCO WEALTH ยังไม่มีมุมมองว่าจะเกิด Global Recession คาดว่าสุดท้ายแล้ว EU จะต้องช่วยเหลือกรีซให้ผ่านพ้นวิกฤติไปได้ ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐฯ TISCO WEALTH มองว่าจะเติบโตในลักษณะของ L-shaped คือ ไม่ได้ขยายตัวมาก แต่ยังไม่ได้ถึงขั้นตกต่ำ แนะนำการลงทุนในภาวะตลาดผันผวนในช่วงเวลานี้ ต้องมองเป็นการลงทุนระยะยาว อย่างน้อย 6 เดือน - 1 ปีข้างหน้า และถือเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีพื้นฐานดีและราคาถูก เช่น หากเปรียบเทียบการลงทุนในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ก่อนวิกฤติ Subprime 2008 (ก.ค. 2008) จนถึงปัจจุบัน คิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 40% แต่หากคิดผลตอบแทนการลงทุนจากช่วงวิกฤติ (ส.ค. 2008) จนถึงปัจจุบัน จะได้ผลตอบแทนมากถึง 180%
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยเองยังมีปัจจัยสนับสนุนการลงทุนหลายประการ ทั้งการขยายตัวของกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนในระดับสูง 21% สำหรับปี 2011 และ 15% สำหรับปี 2012 ในขณะที่อัตราการเติบโตของ EPS ปี 2011 เฉลี่ยของภูมิภาคอยู่ที่ 11% ในขณะที่เศรษฐกิจขยายตัวในระดับปกติ คาดเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ดีใน 2H11 เมื่อปัญหา supply chains เริ่มคลี่คลายลง และจะขยายตัวร้อยละ 4 - 5 ในช่วงปี 2011 - 2012 รวมถึงการฟื้นตัวภาคการลงทุนและการบริโภคภาคเอกชน จากนโยบายกระตุ้นของรัฐบาลด้วยเม็ดเงินกว่า 2 ล้านล้านบาท ในช่วง 5 ปีข้างหน้า อีกทั้งสัดส่วนการส่งออกของไทยในปัจจุบันจะอยู่ภายในทวีปเอเชียด้วยกันเป็นหลัก จึงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวของ US และยุโรปไม่มากนัก
นอกจากนี้ จากความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในเอเชีย ในขณะที่ความเสี่ยงของการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปมีมากขึ้น ตลาดหุ้นในเอเชียจึงมีแนวโน้มที่จะ outperform ตลาด Developed markets ประกอบกับมูลค่าหุ้นที่ถูกของหุ้นตลาดเอเชีย รวมถึงหุ้นไทย โดยปกติค่าเฉลี่ย P/E ratio ของภูมิภาคเท่ากับ 14 เท่า แต่ในปัจจุบัน P/E Ratio ของตลาด Asia Pacific ex Japan และไทย อยู่ที่ 10.4 เท่า นอกเหนือจากนั้น คาดว่าจะมีเม็ดเงินจากกองทุน LTF และ RMF ที่โดยปกติจะเข้ามาช่วงไตรมาสที่ 4 จะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยด้วย
โดยกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ TISCO WEALTH แนะนำให้ทยอยเข้าลงทุน เมื่อดัชนีฯ ปรับฐานลงระดับต่ำกว่า 1,000 จุด