บลจ.กสิกรไทยปรับเป้าดัชนีหุ้นเหลือ 1,100 จุด แต่ยังมั่นใจเม็ดเงินใหม่ทยอยเข้าลงทุนเพิ่มแน่ เหตุพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังแกร่ง ระบุกรณีแย่สุดคงไม่หลุด 800 จุด พร้อมแนะนักลงทุนระยะสั้นพักเงินรอความชัดเจนก่อน แต่คาดดาวน์ไซด์ตลาดโลกเหลือไม่มากหลังจากปรับลงในช่วงที่ผ่านมา
นายธนวัฒน์ รุ่งธนาภิรมย์ ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และจัดการกองทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการปรับลดประมาณการเป้าหมายดัชนีลงเหลือ 1,100 จุด ในอีก 12 เดือน ข้างหน้า โดยในระยะสั้นนี้ในส่วนของเม็ดเงินเก่าบริษัทยังไม่แนะนำให้นักลงทุนเข้าลงทุนแต่ประการใด เพื่อรอให้สถานการณ์มีความชัดเจนขึ้นมาก่อน แต่ที่ระดับดัชนีปัจจุบันก็ไม่ได้แนะนำให้ทำการช็อต (Short Sell) แต่ประการใด ปัจจุบันพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยดีกว่าในปี2008 แต่ในส่วนของเม็ดเงินใหม่อาจจะเริ่มพิจารณาทยอยเข้าลงทุนได้แล้ว โดยมองเป้าหมายเพื่อหวังผลตอบแทนในระยะกลาง-ยาว
ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาเจอแรงเทขายของนักลงทุนสถาบันต่างชาติที่มีการ unwild dollar carry trade โดยขายสินทรัพย์เสี่ยงโยกเงินกลับไปในสหรัฐอีกครั้ง ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในช่วงสั้นมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นแต่ก็น่าจะเป็นเพียงการแข็งค่าในระยะสั้นเท่านั้น เพราะด้วยพื้นฐานของเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังอ่อนแอจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในระยะยาวยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง และมองว่าการขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมาในช่วงนี้เป็นเพียงการตื่นตระหนกขาย (Panic Sell) เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤติปี2008 ที่ทำให้ราคาหุ้นและราคาทองคำมีการปรับตัวลงมาพร้อมกัน ตลาดหุ้นไทยเองก็เช่นเดียวกันหลังจากที่เจอแรงขายของต่างชาติแล้วนักลงทุนในประเทศเองก็เริ่มกังวลไม่กล้าเข้ามารับ ยิ่งซ้ำเติมทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรง
โดยในมุมมองของบริษัทเองประเมินว่าแนวรับระดับ 870 จุด จะเป็นแนวรับที่สมเหตุสมผลสำหรับตลาดหุ้นไทยแล้ว โดยคิดว่าในกรณีแย่สุดดัชนีระดับ 800 จุด น่าจะรับอยู่
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยเองในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างจะแข็งแกร่งกว่าตลาดอื่นในภูมิภาคและเพิ่งปรับตัวลงมาไม่นานถือว่าช้ากว่าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค โอกาสที่จะยังเจอแรงขายต่อเนื่องก็ยังมีอยู่ นักลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุนด้วย
นายธนวัฒน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของตลาดหุ้นต่างประเทศเองโดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ก็เจอแรงเทขายออกมาไม่ต่างกัน โดยมีการปรับตัวลงมาแล้วประมาณ 10-15% ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดเกิดใหม่เหล่านี้ในแง่ของพื้นฐานยังคงดีอยู่ แต่เมื่อนักลงทุนต่างชาติตื่นกลัวและมีการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อดำรงสภาพคล่องมากขึ้นก็ทำให้ถูกผลกระทบไปด้วย หลายๆ ตลาดราคาปรับตัวลงมาจนมีมูลค่าที่น่าสนใจมากแต่ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่มีความชัดเจนก็ยังไม่แนะนำให้นักลงทุนเข้าไปลงทุน
“ซึ่งการปรับตัวลดลงเพราะตลาดมองไปว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยซ้ำซ้อน (Double Dip) ไปแล้ว ดังนั้นที่ระดับราคาหุ้นปัจจุบันความเสี่ยงในขาลง (Downside) น่าจะมีเหลือไม่มาก เพราะตลาดได้ซึมซับกับข่าวในกรณีที่เลวร้ายที่สุดไปแล้ว โดยตลาดหุ้นจีนเองในช่วงที่ผ่านมาก็ถูกผลกระทบไปด้วยและเป็นหนึ่งใสนตลาดที่ค่อนข้างถูกในปัจจุบัน เพราะถ้ามองในแง่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ยังดูดีอยู่ ดังนั้นในช่วงระยะสั้นนี้คาดว่าตลาดของสินทรัพย์เสี่ยงยังจะคงมีความผันผวนต่อเนื่อง แต่ในท้ายที่สุดเชื่อมั่นว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ซึ่งเป็นเป้าหมายของเงินลงทุนทั่วโลกอยู่ดี รวมทั้งทองคำด้วย เพราะผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐต่ำมากในปัจจุบัน”
นายธนวัฒน์ รุ่งธนาภิรมย์ ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่และจัดการกองทุนต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการปรับลดประมาณการเป้าหมายดัชนีลงเหลือ 1,100 จุด ในอีก 12 เดือน ข้างหน้า โดยในระยะสั้นนี้ในส่วนของเม็ดเงินเก่าบริษัทยังไม่แนะนำให้นักลงทุนเข้าลงทุนแต่ประการใด เพื่อรอให้สถานการณ์มีความชัดเจนขึ้นมาก่อน แต่ที่ระดับดัชนีปัจจุบันก็ไม่ได้แนะนำให้ทำการช็อต (Short Sell) แต่ประการใด ปัจจุบันพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยดีกว่าในปี2008 แต่ในส่วนของเม็ดเงินใหม่อาจจะเริ่มพิจารณาทยอยเข้าลงทุนได้แล้ว โดยมองเป้าหมายเพื่อหวังผลตอบแทนในระยะกลาง-ยาว
ทั้งนี้ ภาพรวมตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงที่ผ่านมาเจอแรงเทขายของนักลงทุนสถาบันต่างชาติที่มีการ unwild dollar carry trade โดยขายสินทรัพย์เสี่ยงโยกเงินกลับไปในสหรัฐอีกครั้ง ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในช่วงสั้นมีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นแต่ก็น่าจะเป็นเพียงการแข็งค่าในระยะสั้นเท่านั้น เพราะด้วยพื้นฐานของเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังอ่อนแอจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในระยะยาวยังคงมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง และมองว่าการขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมาในช่วงนี้เป็นเพียงการตื่นตระหนกขาย (Panic Sell) เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤติปี2008 ที่ทำให้ราคาหุ้นและราคาทองคำมีการปรับตัวลงมาพร้อมกัน ตลาดหุ้นไทยเองก็เช่นเดียวกันหลังจากที่เจอแรงขายของต่างชาติแล้วนักลงทุนในประเทศเองก็เริ่มกังวลไม่กล้าเข้ามารับ ยิ่งซ้ำเติมทำให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรง
โดยในมุมมองของบริษัทเองประเมินว่าแนวรับระดับ 870 จุด จะเป็นแนวรับที่สมเหตุสมผลสำหรับตลาดหุ้นไทยแล้ว โดยคิดว่าในกรณีแย่สุดดัชนีระดับ 800 จุด น่าจะรับอยู่
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยเองในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างจะแข็งแกร่งกว่าตลาดอื่นในภูมิภาคและเพิ่งปรับตัวลงมาไม่นานถือว่าช้ากว่าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค โอกาสที่จะยังเจอแรงขายต่อเนื่องก็ยังมีอยู่ นักลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุนด้วย
นายธนวัฒน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนของตลาดหุ้นต่างประเทศเองโดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่ก็เจอแรงเทขายออกมาไม่ต่างกัน โดยมีการปรับตัวลงมาแล้วประมาณ 10-15% ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดเกิดใหม่เหล่านี้ในแง่ของพื้นฐานยังคงดีอยู่ แต่เมื่อนักลงทุนต่างชาติตื่นกลัวและมีการเทขายสินทรัพย์เสี่ยงเพื่อดำรงสภาพคล่องมากขึ้นก็ทำให้ถูกผลกระทบไปด้วย หลายๆ ตลาดราคาปรับตัวลงมาจนมีมูลค่าที่น่าสนใจมากแต่ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่มีความชัดเจนก็ยังไม่แนะนำให้นักลงทุนเข้าไปลงทุน
“ซึ่งการปรับตัวลดลงเพราะตลาดมองไปว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยซ้ำซ้อน (Double Dip) ไปแล้ว ดังนั้นที่ระดับราคาหุ้นปัจจุบันความเสี่ยงในขาลง (Downside) น่าจะมีเหลือไม่มาก เพราะตลาดได้ซึมซับกับข่าวในกรณีที่เลวร้ายที่สุดไปแล้ว โดยตลาดหุ้นจีนเองในช่วงที่ผ่านมาก็ถูกผลกระทบไปด้วยและเป็นหนึ่งใสนตลาดที่ค่อนข้างถูกในปัจจุบัน เพราะถ้ามองในแง่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ยังดูดีอยู่ ดังนั้นในช่วงระยะสั้นนี้คาดว่าตลาดของสินทรัพย์เสี่ยงยังจะคงมีความผันผวนต่อเนื่อง แต่ในท้ายที่สุดเชื่อมั่นว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาในตลาดเกิดใหม่ซึ่งเป็นเป้าหมายของเงินลงทุนทั่วโลกอยู่ดี รวมทั้งทองคำด้วย เพราะผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐต่ำมากในปัจจุบัน”