กสิกรไทยแนะล็อกเงินลงทุน 1 ปี รับยิลด์สูงขึ้น หลังอัตราดอกเบี้ยใกล้ขึ้นติดเพดาน จากสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัว-เงินเฟ้อพุ่งตามหลอน ล่าสุดส่งกองตราสารหนี้ 1 ปีขายทุกสัปดาห์ ประเดิมกองแรก"เค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี พี"เปิดขายตั้งแต่วันนี้ถึง 12 กันยายน ชูยิลด์ 4.2% ต่อปีสูงกว่าตราสารหนี้ 3 เดือน 1%
นางสาวยุพาวดี ตู้จินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทประเมินว่าในสิ้นปี 2554 นี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3.50- 3.75% จากระดับปัจจุบันที่ 3.50% โดยปัจจุบันหากลูกค้าสามารถเลือกลงทุนในระยะยาวขึ้นได้ในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มจะมีการชะลอตัวเช่นในช่วงนี้ ก็มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในระยะสั้นๆ เพียง 3 เดือน ไปเรื่อยๆ
ทั้งนี้ การปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้การล็อกเงินยาวขึ้นกับกองทุนตราสารหนี้อายุประมาณ 1 ปี เริ่มมีความน่าสนใจมากกว่าการเน้นการลงทุนระยะสั้นๆ ที่รอการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเช่นช่วงที่ผ่านมา โดยล่าสุดบริษัทจึงเตรียมทำการเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศอายุ 1 ปี เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องในทุกๆ สัปดาห์
โดยกองทุนแรกที่จะทำการเปิดขายในสัปดาห์นี้ระหว่างวันที่ 9-12 กันยายนนี้ ได้แก่กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี พี (KFF1YP) ให้โอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนอยู่ที่ประมาณ 4.20% ต่อปี โดยไม่เสียภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งสูงกว่ากองทุนตราสารหนี้อายุ 3 เดือนที่เปิดขายล่าสุดประมาณ 1.00%
สำหรับกองทุน KFF1YP จะมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากของสถาบันการเงินในต่างประเทศ อาทิ Bank of Korea หรือ Ministry of Strategy and Finance และ Hyundai Capital ประเทศเกาหลีใต้ ตราสารหนี้ Bank of America ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงเงินฝาก China Construction Bank สาขาฮ่องกง Bank of China สาขามาเก๊า เป็นต้น
นางสาวยุพาวดี กล่าวอีกว่า สาเหตุที่การลงทุนอายุ 1 ปีเป็นที่น่าสนใจเพราะปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อของไทยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 4.29% แม้จะยังคงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็น่าที่จะใกล้จุดสูงสุดแล้ว และเมื่อประกอบกับนโยบายของรัฐบาลที่มีการปรับลดราคาน้ำมันลง อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยชะลอเงินเฟ้อของไทยไม่ให้ปรับตัวขึ้นไปสูงมากได้ ดังนั้น โอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้เพิ่มเติมอีกจึงมีไม่มากนัก
นอกจากนี้การที่สถานการณ์เศรษฐกิจภายนอกประเทศที่ยังคงเปราะบาง เห็นได้ชัดจากสัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มชัดเจนขึ้นทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้มีการปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2554 ลง ประมาณ 0.5% โดยคาดการณ์ว่าในปีนี้ทั้งปี เศรษฐกิจไทยจะสามารถเติบโตได้ 3.5 - 4.0% เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงภายนอกประเทศ จะเป็นตัวชะลอการตัดสินใจการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งต่อๆไปได้อีก
นางสาวยุพาวดี ตู้จินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทประเมินว่าในสิ้นปี 2554 นี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายน่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 3.50- 3.75% จากระดับปัจจุบันที่ 3.50% โดยปัจจุบันหากลูกค้าสามารถเลือกลงทุนในระยะยาวขึ้นได้ในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มจะมีการชะลอตัวเช่นในช่วงนี้ ก็มีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนในระยะสั้นๆ เพียง 3 เดือน ไปเรื่อยๆ
ทั้งนี้ การปรับพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้การล็อกเงินยาวขึ้นกับกองทุนตราสารหนี้อายุประมาณ 1 ปี เริ่มมีความน่าสนใจมากกว่าการเน้นการลงทุนระยะสั้นๆ ที่รอการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเช่นช่วงที่ผ่านมา โดยล่าสุดบริษัทจึงเตรียมทำการเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศอายุ 1 ปี เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ผู้ลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีอย่างต่อเนื่องในทุกๆ สัปดาห์
โดยกองทุนแรกที่จะทำการเปิดขายในสัปดาห์นี้ระหว่างวันที่ 9-12 กันยายนนี้ ได้แก่กองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี พี (KFF1YP) ให้โอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนอยู่ที่ประมาณ 4.20% ต่อปี โดยไม่เสียภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งสูงกว่ากองทุนตราสารหนี้อายุ 3 เดือนที่เปิดขายล่าสุดประมาณ 1.00%
สำหรับกองทุน KFF1YP จะมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้และเงินฝากของสถาบันการเงินในต่างประเทศ อาทิ Bank of Korea หรือ Ministry of Strategy and Finance และ Hyundai Capital ประเทศเกาหลีใต้ ตราสารหนี้ Bank of America ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงเงินฝาก China Construction Bank สาขาฮ่องกง Bank of China สาขามาเก๊า เป็นต้น
นางสาวยุพาวดี กล่าวอีกว่า สาเหตุที่การลงทุนอายุ 1 ปีเป็นที่น่าสนใจเพราะปัจจุบันอัตราเงินเฟ้อของไทยปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 4.29% แม้จะยังคงมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็น่าที่จะใกล้จุดสูงสุดแล้ว และเมื่อประกอบกับนโยบายของรัฐบาลที่มีการปรับลดราคาน้ำมันลง อาจเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยชะลอเงินเฟ้อของไทยไม่ให้ปรับตัวขึ้นไปสูงมากได้ ดังนั้น โอกาสที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้เพิ่มเติมอีกจึงมีไม่มากนัก
นอกจากนี้การที่สถานการณ์เศรษฐกิจภายนอกประเทศที่ยังคงเปราะบาง เห็นได้ชัดจากสัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มชัดเจนขึ้นทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา รวมถึงประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้มีการปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2554 ลง ประมาณ 0.5% โดยคาดการณ์ว่าในปีนี้ทั้งปี เศรษฐกิจไทยจะสามารถเติบโตได้ 3.5 - 4.0% เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงภายนอกประเทศ จะเป็นตัวชะลอการตัดสินใจการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในครั้งต่อๆไปได้อีก