ASTVผู้จัดการรายวัน - สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เผยนักลงทุนต่างชาติหันลงทุนบอนด์ในประเทศระยะยาวเพิ่มขึ้น หลังสหรัฐโดยลดระดับความน่าเชื่อถือพันธบัตรของตัวเอง ชี้ตั้งแต่ต้นปีถึง 19 ส.ค. 54 ยอดถึงครองต่างชาติเพิ่มอยู่ที่ 4.5 แสนล้านบาท
นางสาวอริยา ติรณะประกิจผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) เปิดเผยว่า ปัจจุบันเงินลงทุนที่เข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้มีทั้งเงินที่เข้ามาลงทุนและเงินลงทุนเก่า ซึ่งอาจจะมีการโยกย้ายจากการลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความผันผวนอยู่ในขณะนี้ นอกจากนี้แล้วการที่สหรัฐโดยลดความน่าเชื่อถือของพันบัตรสหรัฐลดลง ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติหันกลับเข้ามาลงทุนในประเทศมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้เงินที่ไหลเข้ามาจากนักลงทุนจะเห็นได้ว่าเริ่มมีการกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ไปยัง ตราสารหนี้ที่มีอายุระยะกลางไปจนถึงระยะยาวมากยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้นักลงทุนจะหันมาลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า นักลงทุนต่างชาติหันมาลงทุนในแถวเอเชียมากยิ่งขึ้นในพันธบัตรที่มีระยะเวลายาวขึ้น
โดยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ประมาณ 3,590 ล้านบาท ซึ่งยอดการถือครองตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นปีจนถึง วันที่ 19 สิงหาคม 2554 อยู่ที่ประมาณ 4.5 แสนล้านบาท และยอมรับว่าอาจมีการทำกำไรในตราสารหนี้ระยะยาวเกิดขึ้นได้หลังอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อายุ 10 ปี ลดลง 0.36% เหลือ3.46% ต่อปี ซึ่งใกล้เคียงผลตอบแทนตราสารหนี้อายุ 6 ปี ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 3.45%ต่อปี
ทั้งนี้การซื้อขายตราสารหนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นตามที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ซึ่งการซื้อขายโดยรวมอยู่ที่ 91,779 ล้านบาท ขณะเดียวกันพันธบัตรอายุ 3 เดือน ให้อัตราผลตอบแทนที่ 3.35% หรือเพิ่มขึ้นอีก 0.01% ส่วนพันธบัตรอายุ 5 ปี ให้ผลตอบแทนที่ 3.41% เพิ่มขึ้น 0.07%
นางสาวอริยา กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงทุนในตราสารหนี้ตั้งแต่อายุ 3 ปี 5 ปี และ 10 ปี เริ่มที่จะมีนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนบ้างแล้ว ซึ่งถ้าดูเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาการถือครองตราสารหนี้ที่มีระยะยาว ๆ จะอยู่ที่ประมาณประมาณ 62% และเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้การถือครองตราสารหนี้ระยะยาวจะอยู่ที่ 54% ขณะที่ตราสารหนี้ระยะสั้นจะอยูที่ 38%
“การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เงินลงทุนยังคงไหลเข้ามายังตลาดตราสารหนี้อยู่ ถึงแม้ว่าในบางวันจะมีการซื้อ การขายออกไปบ้างก็ตามแต่ก็ยังคงเป็นเรื่องปกติที่มีการซื้อขาย” นางสาวอริยา กล่าว
นางสาวอริยา ติรณะประกิจผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) เปิดเผยว่า ปัจจุบันเงินลงทุนที่เข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้มีทั้งเงินที่เข้ามาลงทุนและเงินลงทุนเก่า ซึ่งอาจจะมีการโยกย้ายจากการลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความผันผวนอยู่ในขณะนี้ นอกจากนี้แล้วการที่สหรัฐโดยลดความน่าเชื่อถือของพันบัตรสหรัฐลดลง ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติหันกลับเข้ามาลงทุนในประเทศมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้เงินที่ไหลเข้ามาจากนักลงทุนจะเห็นได้ว่าเริ่มมีการกระจายการลงทุนในตราสารหนี้ไปยัง ตราสารหนี้ที่มีอายุระยะกลางไปจนถึงระยะยาวมากยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้นักลงทุนจะหันมาลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า นักลงทุนต่างชาติหันมาลงทุนในแถวเอเชียมากยิ่งขึ้นในพันธบัตรที่มีระยะเวลายาวขึ้น
โดยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ประมาณ 3,590 ล้านบาท ซึ่งยอดการถือครองตราสารหนี้ของนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ต้นปีจนถึง วันที่ 19 สิงหาคม 2554 อยู่ที่ประมาณ 4.5 แสนล้านบาท และยอมรับว่าอาจมีการทำกำไรในตราสารหนี้ระยะยาวเกิดขึ้นได้หลังอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อายุ 10 ปี ลดลง 0.36% เหลือ3.46% ต่อปี ซึ่งใกล้เคียงผลตอบแทนตราสารหนี้อายุ 6 ปี ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 3.45%ต่อปี
ทั้งนี้การซื้อขายตราสารหนี้ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พันธบัตรรัฐบาลให้ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นตามที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ กนง. ซึ่งการซื้อขายโดยรวมอยู่ที่ 91,779 ล้านบาท ขณะเดียวกันพันธบัตรอายุ 3 เดือน ให้อัตราผลตอบแทนที่ 3.35% หรือเพิ่มขึ้นอีก 0.01% ส่วนพันธบัตรอายุ 5 ปี ให้ผลตอบแทนที่ 3.41% เพิ่มขึ้น 0.07%
นางสาวอริยา กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงทุนในตราสารหนี้ตั้งแต่อายุ 3 ปี 5 ปี และ 10 ปี เริ่มที่จะมีนักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาลงทุนบ้างแล้ว ซึ่งถ้าดูเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาการถือครองตราสารหนี้ที่มีระยะยาว ๆ จะอยู่ที่ประมาณประมาณ 62% และเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้การถือครองตราสารหนี้ระยะยาวจะอยู่ที่ 54% ขณะที่ตราสารหนี้ระยะสั้นจะอยูที่ 38%
“การลงทุนของนักลงทุนต่างชาติยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เงินลงทุนยังคงไหลเข้ามายังตลาดตราสารหนี้อยู่ ถึงแม้ว่าในบางวันจะมีการซื้อ การขายออกไปบ้างก็ตามแต่ก็ยังคงเป็นเรื่องปกติที่มีการซื้อขาย” นางสาวอริยา กล่าว