บลจ.เกีรยตินาคิน ดึง "พิชิต" นังประธานบอรด์ วางเกมขึ้นท้อป 10 พร้อมหวัง 5 ปี สินทรัพย์โตหักแสนล้าน ประเดิม 14 กองทุนโกยเงินเข้าพอร์ตภายในสิ้นปีนี้
นายพิชิต อัคราทิตย์ ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เกียรตินาคิน จำกัด (KKFund) เปิดเผยว่า การเข้ามาร่วมบริหารบลจ.เกีรยตินาคินในครั้งนี้ ถือเป็นสิ่งที่ท้าทาย ซึ่งเราเองมีเป้าหมายที่จะนำนวัตกรรมการลงทุนใหม่ๆ เข้ามาเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าและนักลงทุน ไปพร้อมๆ ทั้งการเป็นบลจ. ที่มีการบริหารงานอย่างโปร่งใส และมีส่วนในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการสนันสนุนโครงการของภาครัฐ เช่น การมีส่วนร่วมในการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น ซึ่งเราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ เราเองมีความพร้อมที่จะสามารถทำได้ ทั้งในแง่ของระบบงานและบุคลากร ซึ่งจากเป้าหมายทั้งหมด เราคาดหวังว่า ภายใน 3 ปีหลังจากนี้ บลจ.เกียรตินาคินจะสามารถเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (เอยูเอ็ม) เป็น 7 หมื่นล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 1 แสนล้านบาทได้ภายใน 5 ปี
"ในช่วงหลังจากนี้ คงเป็นช่วงของการพัฒนาโครงสร้างขององค์กร ทั้งในแง่ของระบบงานและบุคลากร เพื่อรองกับการเติบโตในอนาคต ไปพร้อมๆ กับการนำเสนอนวัตกรรมการลงทุนใหม่ให้กับรักลงทุน"ประธานกรรมการบลจ.เกีรยตินาคินกล่าว
ด้านนายศุภกร สุนทรกิจ กรรมการผู้จัดการ บลจ. เกียรตินาคิน เปิดเผยว่า ภายหลังจากธนาคารเกียรตินาคินเข้ามาเป็นถือหุ้นหลักในบริษัทอย่างเป็นทางการแล้ว บริษัทก็เตรียมแผนเสนอขายกองทุนใหม่ทันที โดยในช่วงเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายนนี้ จะมีกองทุนออกมาทั้งสิ้นประมาณ 5 กองทุน ซึ่งประกอบด้วยกองทุนตราสารหนี้ประเภทเทอมฟันด์ กองทุนหุ้นในประเทศ 2 กองทุน โดยหนึ่งในสองกองทุนนั้นเป็นกองทุนประเภททาร์เก็ตฟันด์ ส่วนที่เหลือ 2 กองทุน เป็นกองทุนทาร์เก็ตฟันด์ที่จะออกไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศ นั่นคือ หุ้นจีนและสหรัฐ ซึ่งมองว่าทิศทางการลงทุนทั้งสองประเทศเป็นจังหวะการลงทุนที่ดี เนื่องจากที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลงไปค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือทั้งปีนี้ บริษัทมีแผนจะออกกองทุนทั้งหมด 14-15 กองทุน โดยจะเน้นขายกองทุนตามจังหวะและทิศทางการลงทุนของโลก โดยคาดว่าถึงสิ้นปี เราจะสามารถระดมทุนจากกองทุนที่เปิดได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท หรือมีสินทรัพย์รวมในส่วนของกองทุนรวมเพิ่มขึ้นเป็น 25,000 ล้านบาท จากปัจจุบันที่มีสินทรัพย์รวมประมาณ 22,000 ล้านบาท
นายศุภกร กล่าวเพิ่มเติมว่า เรามีเป้าหมายหลักที่จะทำให้บลจ.เกียรตินาคินเป็นบลจ.ขนาดกลางที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (บูติค) โดยกลยุทธ์สำคัญที่จะนำมาแข่งขันกับกองทุนอื่นๆ ในตลาดคือ ความแตกต่างในแง่ของผลิตภัณฑ์ ด้วยการออกกองทุนให้ครบทุกประเภท ทั้งกองทุนหุ้น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมต่างประเทศที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ รวมไปถึงกองทุนประเภททาร์เก็ตฟันด์ โดยกองทุนเหล่านี้ จะเน้นการคุณภาพของกองทุนในแง่ผลตอบแทนเป็นหลัก เพื่อให้ลูกค้าเห็นและเข้ามาลงทุนกับเรามากขึ้น
"ที่ผ่านมาก็มีความเป็นห่วงเช่นกันว่าเงินที่เราบริหารอยู่ อาจจะไหลออกไป เพราะปัจจุบัน ธนาคารนครหลวงไทยที่เป็นผู้ถือหุ้นเดิม ไม่ได้ขายกองทุนให้กับเราแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าประเด็นนี้จะไม่ใช่ปัญหาต่อการขยายตัวของเราในการก้าวไปสู่การเป็นบลจ. 10 อันดับแรกของอุตสาหกรรม ซึ่งเราเชื่อว่า ธนาคารเกียรตินาคินและกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของเราเองจะมีส่วนสำคัญที่ทำให้เราเติบโตได้"นายศุภกรกล่าว
ให้กรอบหุ้นไทยไปถึง1,250จุด
นายศุภกร กล่าวถึงทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนในตลาดหุ้นไทยว่า ปีนี้คาดว่าเศรษฐกิจของไทยจะขยายตัวได้ในระดับ 4-5% โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ เศรษฐกิจยังมีโมเมนตัมในการขยายตัวต่อจากปีที่แล้ว ส่วนนโยบายของรัฐบาลใหม่นั้น คงยังประเมินไม่ได้เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนมากนัก ในส่วนของดัชนีหุ้นไทยนั้น คาดว่าทั้งปีนี้ กำไรบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัวได้ในระดับ 30% ซึ่งจะทำให้ดัชนีสามารถวิ่งไปถึง 1,250 จุดได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงสำคัญอยู่ที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐ โดยเฉพาะมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจรอบที่สาม (QE3) ซึ่งหากมีความชัดเจน จะทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามาในระบบการเงินโลกมากขึ้น