ASTVผู้จัดการรายวัน - บัวหลวง ชี้ทองคำขายออกระยะสั้นตามแรงขายสินค้าโภคภัณฑ์ แนะนักลงทุนซื้อเก็งกำไรระยะยาว ชี้ปัญหายุโรป - อเมริกาไม่กระทบ
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้ทองคำถูกขายออกในระยะสั้นตามแรงขายของสินค้าโภคภัณฑ์นั้น โดยปกติแล้ว ถ้าไม่ได้มีปัจจัยที่กระทบพื้นฐานทองคำโดยตรง ในเวลาไม่นานก็จะมีแรงซื้อทองคำกลับเข้ามา ตัวอย่างเช่น ในไตรมาส 2 ปีนี้ ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 5% ในขณะที่สินค้าโภคภัณฑ์อย่างอื่นปรับตัวลดลงเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ช่วงที่เกิดแรงขายทองคำอย่างเช่นในช่วงนี้ จะเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนทองคำระยะยาวจะกลับเข้าไปสะสมทองคำอีกครั้ง ประเด็นนี้จึงไม่น่ากังวล
ทั้งนี้ ปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปที่เบาบางลงไป เพราะนักลงทุนต่างคาดว่า อย่างไรเสียสหภาพยุโรป (EU) และ IMF จะต้องเจรจาหาเงินกู้ยืมมาช่วยเหลือกรีซแน่นอน คงไม่ยอมให้กรีซผิดนัดชำระหนี้ เนื่องจากจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเสถียรภาพของเงินยูโรและประเทศอื่นๆ ในวงกว้าง แต่ถึงจะหาเงินกู้มาช่วยกรีซได้ ก็จะเป็นการต่อเวลาให้กรีซเพิ่มขึ้น โดยเห็นโอกาสรอดเพียงน้อยนิด เนื่องจากโอกาสที่กรีซจะแก้ปัญหาการขาดดุล ทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลงบประมาณได้นั้นเป็นเรื่องที่ลำบากมาก เพราะว่าเศรษฐกิจของกรีซมาจากการใช้จ่ายภาครัฐเกือบครึ่งหนึ่ง ที่เหลืออีกครึ่งมาจากภาคการท่องเที่ยวและเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่
ขณะเดียวกันการที่กรีซจะแก้ปัญหาด้วยการลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐก็ทำได้ยากในทางปฏิบัติ เพราะจะส่งผลรุนแรงต่อประชาชนจำนวนมาก ซึ่งชาวกรีซก็กำลังก่อการประท้วงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การจะไปกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยภาคการท่องเที่ยวหรือส่งออกสินค้าเกษตร ด้วยการลดค่าเงินเพื่อดึงดูดกำลังซื้อจากต่างชาติก็ทำไม่ได้ เพราะกรีซไปใช้เงินสกุลยูโรร่วมกับอีกหลายประเทศ และยูโรไม่ใช่สกุลเงินเฉพาะของกรีซที่รัฐบาลจะควบคุมบังคับได้โดยอิสระ ความหนักหนาสาหัสของกรีซนี้ จะเห็นได้จากนักลงทุนชื่อดังระดับโลกหลายราย เช่น George Soros, Jim Rogers หรือ Mohamed El-Erian แห่ง PIMCO ที่ให้ความเห็นว่า สุดท้ายแล้วกรีซคงจะหลีกเลี่ยงการเบี้ยวหนี้ไม่พ้นแน่ๆ และในที่สุดก็จะต้องยอมรับสภาพว่า กรีซไม่ควรใช้เงินสกุลยูโรต่อไป ซึ่งกว่าที่เหตุการณ์จะดำเนินไปถึงขั้นนั้น ค่าเงินยูโรจะอ่อนค่าลงเรื่อยๆ นักลงทุนที่ชาญฉลาดย่อมหาทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงในส่วนนี้ ดังนั้น การเลี่ยงจากเงินยูโรมาลงทุนในทองคำจึงเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้การที่เงินดอลลาร์กำลังแข็งค่าขึ้นในช่วงนี้นั้น คงชี้ไม่ได้ว่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าไปอีกนานแค่ไหน แต่ก็น่าจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น เพราะในระยะยาว การบริหารสินทรัพย์ของธนาคารกลางหรือกองทุนต่างๆ มีแนวโน้มที่จะลดความเสี่ยงต่อสกุลเงินดอลลาร์ ด้วยการกระจายการลงทุนออกไปจากพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์ เพราะหนี้สินของสหรัฐในสัดส่วนที่เทียบกับ GDP แล้วก็สูงไม่น้อยไปกว่ากรีซเท่าใดเลย มีปริมาณที่มากกว่าหนี้ของกรีซด้วยซ้ำ และสหรัฐยังก่อหนี้เพิ่มไม่ได้แล้วเพราะเต็มเพดานหนี้ นอกจากจะได้รับอนุมัติจากสภาคองเกรสก่อน ดังนั้น บทบาทของเงินดอลลาร์จึงน่าจะลดลงไปเรื่อยๆ โดยวันที่ 2 สิงหาคม 2554 นี้จะเป็นวันสรุปว่า สหรัฐจะสามารถเพิ่มระดับเพดานการก่อหนี้ได้หรือไม่ และแม้ว่าประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า จะต้องเจออุปสรรคทางการเมืองภายในอย่างไร สุดท้ายแล้ว สหรัฐก็คงจะต้องเพิ่มเพดานหนึ้ขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ด้วยการกู้เพิ่มมาใช้หนี้ แล้วค่อยไปหาทางแก้ปัญหาขาดดุลแฝด (ดุลบัญชีงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัด) ในภายหลัง ซึ่งในที่สุดเรื่องหนี้สินของสหรัฐก็จะเป็นประเด็นเรื้อรังต่อไปอีกยาวนาน ถ้าสหรัฐยังปล่อยให้ปัญหาขาดดุลเกิดขึ้นเรื่อยๆ ตามแนวคิดข้างต้น ความเชื่อถือในเงินดอลลาร์ก็จะค่อยๆ ลดลง ทองคำก็จะได้ประโยชน์ไปเต็มๆ
อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน ถ้าสหรัฐแก้ปัญหาด้วยการลดการใช้จ่ายลง สวัสดิการต่างๆ ของประชาชนก็จะลดลงไปด้วย (ซึ่งจะกระทบฐานเสียงสนับสนุนประธานาธิบดี โอบาม่า และพรรคเดโมแครท) และจะกระทบต่อความสามารถในการใช้จ่ายในครัวเรือนที่มีสัดส่วนสูงถึง 70% ของจีดีพี หมายความว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะสามารถฟื้นตัวได้จริงในอนาคต แต่ก็จะมีอัตราการเติบโตที่เชื่องช้าไปอีกยาวนาน อัตราดอกเบี้ยสหรัฐจึงไม่น่า จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้มาก ทำให้ไม่กระทบต่อความต้องการลงทุนในทองคำมากนัก อย่างไรก็ตาม ช่วงแรกของการกลับทิศนโยบายจากผ่อนคลายเป็นรัดกุมมากขึ้น (ซึ่งคาดว่าจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้) อาจทำให้มีแรงขายทองคำออกมาพอสมควร ซึ่งนักลงทุนควรระวัง แต่หลังจากนั้น ทองคำยังคงเป็นขาขึ้นต่อได้
สำหรับการลงทุนในทองคำ เราพบว่า ทองคำจะถูกขายในช่วงที่มีความกังวลต่อความเสี่ยงต่างๆ นั้นผ่อนคลายลง แต่โชคดีของผู้ลงทุนในทองคำที่ความเสี่ยงเหล่านั้น มันหายไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่เคยหายไปจริงๆ เลย หลังจากนั้น ทองคำก็จะยังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนอยู่ต่อไป
รายงานข่าวจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บัวหลวง จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันนี้ทองคำถูกขายออกในระยะสั้นตามแรงขายของสินค้าโภคภัณฑ์นั้น โดยปกติแล้ว ถ้าไม่ได้มีปัจจัยที่กระทบพื้นฐานทองคำโดยตรง ในเวลาไม่นานก็จะมีแรงซื้อทองคำกลับเข้ามา ตัวอย่างเช่น ในไตรมาส 2 ปีนี้ ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 5% ในขณะที่สินค้าโภคภัณฑ์อย่างอื่นปรับตัวลดลงเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น ช่วงที่เกิดแรงขายทองคำอย่างเช่นในช่วงนี้ จะเป็นโอกาสดีที่นักลงทุนทองคำระยะยาวจะกลับเข้าไปสะสมทองคำอีกครั้ง ประเด็นนี้จึงไม่น่ากังวล
ทั้งนี้ ปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปที่เบาบางลงไป เพราะนักลงทุนต่างคาดว่า อย่างไรเสียสหภาพยุโรป (EU) และ IMF จะต้องเจรจาหาเงินกู้ยืมมาช่วยเหลือกรีซแน่นอน คงไม่ยอมให้กรีซผิดนัดชำระหนี้ เนื่องจากจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อเสถียรภาพของเงินยูโรและประเทศอื่นๆ ในวงกว้าง แต่ถึงจะหาเงินกู้มาช่วยกรีซได้ ก็จะเป็นการต่อเวลาให้กรีซเพิ่มขึ้น โดยเห็นโอกาสรอดเพียงน้อยนิด เนื่องจากโอกาสที่กรีซจะแก้ปัญหาการขาดดุล ทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดและดุลงบประมาณได้นั้นเป็นเรื่องที่ลำบากมาก เพราะว่าเศรษฐกิจของกรีซมาจากการใช้จ่ายภาครัฐเกือบครึ่งหนึ่ง ที่เหลืออีกครึ่งมาจากภาคการท่องเที่ยวและเกษตรกรรมเป็นส่วนใหญ่
ขณะเดียวกันการที่กรีซจะแก้ปัญหาด้วยการลดค่าใช้จ่ายของภาครัฐก็ทำได้ยากในทางปฏิบัติ เพราะจะส่งผลรุนแรงต่อประชาชนจำนวนมาก ซึ่งชาวกรีซก็กำลังก่อการประท้วงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การจะไปกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยภาคการท่องเที่ยวหรือส่งออกสินค้าเกษตร ด้วยการลดค่าเงินเพื่อดึงดูดกำลังซื้อจากต่างชาติก็ทำไม่ได้ เพราะกรีซไปใช้เงินสกุลยูโรร่วมกับอีกหลายประเทศ และยูโรไม่ใช่สกุลเงินเฉพาะของกรีซที่รัฐบาลจะควบคุมบังคับได้โดยอิสระ ความหนักหนาสาหัสของกรีซนี้ จะเห็นได้จากนักลงทุนชื่อดังระดับโลกหลายราย เช่น George Soros, Jim Rogers หรือ Mohamed El-Erian แห่ง PIMCO ที่ให้ความเห็นว่า สุดท้ายแล้วกรีซคงจะหลีกเลี่ยงการเบี้ยวหนี้ไม่พ้นแน่ๆ และในที่สุดก็จะต้องยอมรับสภาพว่า กรีซไม่ควรใช้เงินสกุลยูโรต่อไป ซึ่งกว่าที่เหตุการณ์จะดำเนินไปถึงขั้นนั้น ค่าเงินยูโรจะอ่อนค่าลงเรื่อยๆ นักลงทุนที่ชาญฉลาดย่อมหาทางเลือกในการกระจายความเสี่ยงในส่วนนี้ ดังนั้น การเลี่ยงจากเงินยูโรมาลงทุนในทองคำจึงเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้การที่เงินดอลลาร์กำลังแข็งค่าขึ้นในช่วงนี้นั้น คงชี้ไม่ได้ว่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าไปอีกนานแค่ไหน แต่ก็น่าจะเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น เพราะในระยะยาว การบริหารสินทรัพย์ของธนาคารกลางหรือกองทุนต่างๆ มีแนวโน้มที่จะลดความเสี่ยงต่อสกุลเงินดอลลาร์ ด้วยการกระจายการลงทุนออกไปจากพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์ เพราะหนี้สินของสหรัฐในสัดส่วนที่เทียบกับ GDP แล้วก็สูงไม่น้อยไปกว่ากรีซเท่าใดเลย มีปริมาณที่มากกว่าหนี้ของกรีซด้วยซ้ำ และสหรัฐยังก่อหนี้เพิ่มไม่ได้แล้วเพราะเต็มเพดานหนี้ นอกจากจะได้รับอนุมัติจากสภาคองเกรสก่อน ดังนั้น บทบาทของเงินดอลลาร์จึงน่าจะลดลงไปเรื่อยๆ โดยวันที่ 2 สิงหาคม 2554 นี้จะเป็นวันสรุปว่า สหรัฐจะสามารถเพิ่มระดับเพดานการก่อหนี้ได้หรือไม่ และแม้ว่าประธานาธิบดีบารัค โอบาม่า จะต้องเจออุปสรรคทางการเมืองภายในอย่างไร สุดท้ายแล้ว สหรัฐก็คงจะต้องเพิ่มเพดานหนึ้ขึ้น เพื่อหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ด้วยการกู้เพิ่มมาใช้หนี้ แล้วค่อยไปหาทางแก้ปัญหาขาดดุลแฝด (ดุลบัญชีงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัด) ในภายหลัง ซึ่งในที่สุดเรื่องหนี้สินของสหรัฐก็จะเป็นประเด็นเรื้อรังต่อไปอีกยาวนาน ถ้าสหรัฐยังปล่อยให้ปัญหาขาดดุลเกิดขึ้นเรื่อยๆ ตามแนวคิดข้างต้น ความเชื่อถือในเงินดอลลาร์ก็จะค่อยๆ ลดลง ทองคำก็จะได้ประโยชน์ไปเต็มๆ
อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน ถ้าสหรัฐแก้ปัญหาด้วยการลดการใช้จ่ายลง สวัสดิการต่างๆ ของประชาชนก็จะลดลงไปด้วย (ซึ่งจะกระทบฐานเสียงสนับสนุนประธานาธิบดี โอบาม่า และพรรคเดโมแครท) และจะกระทบต่อความสามารถในการใช้จ่ายในครัวเรือนที่มีสัดส่วนสูงถึง 70% ของจีดีพี หมายความว่า แม้เศรษฐกิจสหรัฐจะสามารถฟื้นตัวได้จริงในอนาคต แต่ก็จะมีอัตราการเติบโตที่เชื่องช้าไปอีกยาวนาน อัตราดอกเบี้ยสหรัฐจึงไม่น่า จะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้มาก ทำให้ไม่กระทบต่อความต้องการลงทุนในทองคำมากนัก อย่างไรก็ตาม ช่วงแรกของการกลับทิศนโยบายจากผ่อนคลายเป็นรัดกุมมากขึ้น (ซึ่งคาดว่าจะไม่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้) อาจทำให้มีแรงขายทองคำออกมาพอสมควร ซึ่งนักลงทุนควรระวัง แต่หลังจากนั้น ทองคำยังคงเป็นขาขึ้นต่อได้
สำหรับการลงทุนในทองคำ เราพบว่า ทองคำจะถูกขายในช่วงที่มีความกังวลต่อความเสี่ยงต่างๆ นั้นผ่อนคลายลง แต่โชคดีของผู้ลงทุนในทองคำที่ความเสี่ยงเหล่านั้น มันหายไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่เคยหายไปจริงๆ เลย หลังจากนั้น ทองคำก็จะยังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนอยู่ต่อไป