ASTVผู้จัดการรายวัน-โบรกเกอร์กองทุนรวมประเมินการลงทุนตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงยังผันผวนต่อเนื่องหลังปัญหานี้เสียในกรีซยังไม่ชัดเจนและมีที่ท่าจะลุกลามไปยังสเปนและอิตาลีอีกด้วย ขณะที่ปัญหารเรื่องการเลือกตั้งก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญด้วยเช่นกัน
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนในเดือนกรกฎาคม เราคาดว่าปัจจัยที่จะทำให้ตลาดโลกผันผวนก็ยังคงเป็นเรื่องเดิมๆเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และการแก้ปัญหาหนี้ของประเทศในกลุ่มยูโรโซน โดยเฉพาะกรีซ และถึงเเม้กรีซจะได้รับความช่วยเหลือในท้ายที่สุด เเต่เราก็ยังคงวางใจกับสถานการณ์ในยุโรปไม่ได้ เนื่องจากยังมีอีกหลายประเทศที่มีปัญหาหนี้ โดยล่าสุด เริ่มเห็นข่าวออกมาบ่อยขึ้นเกี่ยวกับสเปนเเละอิตาลี โดยเฉพาะอิตาลีที่เริ่มเห็นข่าวการเตือนการปรับลดความน่าเชื่อถือของประเทศลง รวมถึงสถานะเงินทุนของธนาคารอิตาเลี่ยนหลายเเห่งที่มีกระเเสกังวลว่าอาจจะไม่ผ่านการทดสอบ Stress Test
สำหรับในประเทศ ประเด็นที่น่าจับตาสุดหนีไม่พ้นประเด็นทางการเมืองและผลการเลือกตั้งน่าจะเป็นปัจจัยหลักที่นักลงทุนจับตามองและอาจยังคงสร้างความผันผวนได้ต่อในเดือนกรกฏาคม อย่างไรก็ดี เรามองว่าการเมืองอาจจะกระทบจิตวิทยาการลงทุนบ้างในระยะสั้น ขณะที่พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้ถูกกระทบหรือเปลี่ยนแปลง การปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมาจึงทำให้มูลค่าหุ้นมีความน่าสนใจมากขึ้นสำหรับการลงทุนในกองทุน
LTF แต่เราคาดว่า ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะผันผวนตลอดช่วงที่เหลือของปี ดังนั้น เราจึงแนะนำให้เป็นลักษณะการทยอยการลงทุนมากกว่าที่จะซื้อทีเดียวด้วยเงินลงทุนทั้งก้อนหรือรอซื้อปลายปี โดยกองทุนที่เราแนะนำเป็นของบลจ.กรุงศรี คือกองทุน AYFLTFDIV เเละ AYFLTFD70 ซึ่งทั้งสองกองมีระดับผลตอบแทนต่อความเสี่ยงและความสม่ำเสมอของผลการดำเนินการติดกลุ่ม top ของเรามาโดยตลอด
อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าทั้งสองกองมีการจัดพอร์ตที่เเทบไม่ต่างกัน สะท้อนให้เห็นว่ามีการใช้วิธีการคัดกรองเเละเลือกหุ้นเเบบเดียวกัน ดังนั้น จะเลือกลงทุนในกองไหนก็ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงของนักลงทุน โดยกอง AYFLTFDIV เป็นกองที่เน้นลงทุนในหุ้นเป็นหลักเเละมีนโยบายลงทุนให้หุ้นไม่น้อยกว่า75% โดยในไตรมาสล่าสุด (มีนาคม 2554) กองทุนมีการลงทุนในหุ้นราว 98% จึงเหมาะกับนักลงทุนที่รีบความเสี่ยงได้สูง ขณะที่ AYFLTFD 70ที่มีการลงทุนในหุ้นน้อยกว่าคืออยู่ในช่วง 65-70% และส่วนที่เหลืออีก 30-35% มีการกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้และ/หรือเงินฝากเพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนให้หุ้น จึงเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงในตลาดหุ้นได้ต่ำกว่าแบบเเรก
ในส่วนของนักลงทุนที่รับความเสี่ยงในหุ้นได้ต่ำสุด ไม่ได้เน้น capital gain แต่มองที่ผลประโยชน์ทางภาษีและต้องการลดความเสี่ยงขาลงของราคาหลักทรัพย์หรือก็คือต้องการขาดทุนให้น้อยที่สุดในช่วงตลาดขาลงเป็นหลัก เราก็แนะนำให้ลงทุนในกองทุน LTF ที่มีการซื้อสัญญาล่วงหน้าเข้ามาช่วยลดความเสี่ยง ทั้งนี้ จุดหนึ่งที่เราอยากย้ำเพื่อความเข้าใจอีกครั้ง เนื่องจากที่ผ่านมามีนักลงทุนหลายท่านสงสัยว่า ทำไมบางครั้งจึงเห็นผล
ตอบแทนของกองทุนติดลบทั้งๆที่กองทุนมีการปิดความเสี่ยง
ทั้งนี้กองทุนส่วนใหญ่ไม่ได้ทำการปิดความเสี่ยงทั้ง 100% จึงทำให้ผลการดำเนินงานเป็นบวกหรือลบก็ได้ในแต่ละช่วงเวลาตามภาวะราคาของหุ้นที่ลงทุนและขนาดของพอร์ตที่ยังมี exposure ต่อตลาดหุ้นอยู่ จุดสำคัญอยู่ที่ว่ากองทุนลักษณะนี้จะมีแนวโน้มของเปลี่ยนแปลงขึ้นหรือลงในอัตราที่น้อยกว่าดัชนีตลาดและกองทุน LTF แบบปกติที่ไม่มีการซื้อสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั่นเอง ที่ผ่านมากองทุน LTF ความเสี่ยงต่ำที่เราแนะนำมีอยู่ 2 กองด้วยกันคือ 1SMART-LTF ของ บลจ.วรรณ, และ K Strategic Defensive(KSDLTF) ของบลจ.กสิกรไทย ทั้งนี้ ทั้งสองกองมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของพอร์ตการลงทุนขนาดของการปิดความเสี่ยงและFeature อื่นๆ ดังนั้น ท้ายที่สุดจะเลือกกองไหนก็ขึ้นอยู่กับนักลงทุนเองว่ากองทุนไหนเหมาะกับรูปแบบการลงทุนของแต่ละท่านมากที่สุด
นายสานุพงศ์ กล่าวต่อว่า หากนักลงทุนต้องการความผันผวนต่ำ ไม่ห่วงเรื่องสภาพคล่อง เราแนะนำ 1SMART-LTFซึ่งที่ผ่านมามีค่าความผันผวนที่วัดด้วยค่า SD หรือ Standard Deviation ต่ำสุด แต่ข้อจำกัดคือทำการขายคืนทำได้เพียงเดือนละ 1 ครั้งเท่านั้น ส่วนนักลงทุนที่ต้องการความคล่องตัวเป็นหลัก และเป็นนักลงทุน LTF ที่ทำการบริหารกองทุนโดยการสับเปลี่ยนเข้าออกระหว่างกอง LTF แบบต่างๆตามภาวะตลาดขึ้นหรือลง เราแนะนำ KSDLTF เพราะเป็นกองที่สามารถสับเปลี่ยนภายในบลจ.ได้เร็วที่สุด คือในวันที่ T หรือวันที่ส่งคำสั่งสับเปลี่ยนเลย นอกจากนี้ ภายในบลจ.กสิกรไทยเองก็มีกองทุน LTFที่ค่อนข้างหลากหลาย ช่วยลดข้อจำกัดเกี่ยวกับทางเลือกในการสับเปลี่ยน ทั้งนี้ การสับเปลี่ยนกองทุนระหว่างบลจ.อาจมีค่าใช้จ่าย
นายสานุพงศ์ สุทัศน์ธรรมกุล Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนในเดือนกรกฎาคม เราคาดว่าปัจจัยที่จะทำให้ตลาดโลกผันผวนก็ยังคงเป็นเรื่องเดิมๆเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ และการแก้ปัญหาหนี้ของประเทศในกลุ่มยูโรโซน โดยเฉพาะกรีซ และถึงเเม้กรีซจะได้รับความช่วยเหลือในท้ายที่สุด เเต่เราก็ยังคงวางใจกับสถานการณ์ในยุโรปไม่ได้ เนื่องจากยังมีอีกหลายประเทศที่มีปัญหาหนี้ โดยล่าสุด เริ่มเห็นข่าวออกมาบ่อยขึ้นเกี่ยวกับสเปนเเละอิตาลี โดยเฉพาะอิตาลีที่เริ่มเห็นข่าวการเตือนการปรับลดความน่าเชื่อถือของประเทศลง รวมถึงสถานะเงินทุนของธนาคารอิตาเลี่ยนหลายเเห่งที่มีกระเเสกังวลว่าอาจจะไม่ผ่านการทดสอบ Stress Test
สำหรับในประเทศ ประเด็นที่น่าจับตาสุดหนีไม่พ้นประเด็นทางการเมืองและผลการเลือกตั้งน่าจะเป็นปัจจัยหลักที่นักลงทุนจับตามองและอาจยังคงสร้างความผันผวนได้ต่อในเดือนกรกฏาคม อย่างไรก็ดี เรามองว่าการเมืองอาจจะกระทบจิตวิทยาการลงทุนบ้างในระยะสั้น ขณะที่พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนไม่ได้ถูกกระทบหรือเปลี่ยนแปลง การปรับตัวลงในช่วงที่ผ่านมาจึงทำให้มูลค่าหุ้นมีความน่าสนใจมากขึ้นสำหรับการลงทุนในกองทุน
LTF แต่เราคาดว่า ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มที่จะผันผวนตลอดช่วงที่เหลือของปี ดังนั้น เราจึงแนะนำให้เป็นลักษณะการทยอยการลงทุนมากกว่าที่จะซื้อทีเดียวด้วยเงินลงทุนทั้งก้อนหรือรอซื้อปลายปี โดยกองทุนที่เราแนะนำเป็นของบลจ.กรุงศรี คือกองทุน AYFLTFDIV เเละ AYFLTFD70 ซึ่งทั้งสองกองมีระดับผลตอบแทนต่อความเสี่ยงและความสม่ำเสมอของผลการดำเนินการติดกลุ่ม top ของเรามาโดยตลอด
อย่างไรก็ตามจะเห็นได้ว่าทั้งสองกองมีการจัดพอร์ตที่เเทบไม่ต่างกัน สะท้อนให้เห็นว่ามีการใช้วิธีการคัดกรองเเละเลือกหุ้นเเบบเดียวกัน ดังนั้น จะเลือกลงทุนในกองไหนก็ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงของนักลงทุน โดยกอง AYFLTFDIV เป็นกองที่เน้นลงทุนในหุ้นเป็นหลักเเละมีนโยบายลงทุนให้หุ้นไม่น้อยกว่า75% โดยในไตรมาสล่าสุด (มีนาคม 2554) กองทุนมีการลงทุนในหุ้นราว 98% จึงเหมาะกับนักลงทุนที่รีบความเสี่ยงได้สูง ขณะที่ AYFLTFD 70ที่มีการลงทุนในหุ้นน้อยกว่าคืออยู่ในช่วง 65-70% และส่วนที่เหลืออีก 30-35% มีการกระจายการลงทุนไปยังตราสารหนี้และ/หรือเงินฝากเพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนให้หุ้น จึงเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงในตลาดหุ้นได้ต่ำกว่าแบบเเรก
ในส่วนของนักลงทุนที่รับความเสี่ยงในหุ้นได้ต่ำสุด ไม่ได้เน้น capital gain แต่มองที่ผลประโยชน์ทางภาษีและต้องการลดความเสี่ยงขาลงของราคาหลักทรัพย์หรือก็คือต้องการขาดทุนให้น้อยที่สุดในช่วงตลาดขาลงเป็นหลัก เราก็แนะนำให้ลงทุนในกองทุน LTF ที่มีการซื้อสัญญาล่วงหน้าเข้ามาช่วยลดความเสี่ยง ทั้งนี้ จุดหนึ่งที่เราอยากย้ำเพื่อความเข้าใจอีกครั้ง เนื่องจากที่ผ่านมามีนักลงทุนหลายท่านสงสัยว่า ทำไมบางครั้งจึงเห็นผล
ตอบแทนของกองทุนติดลบทั้งๆที่กองทุนมีการปิดความเสี่ยง
ทั้งนี้กองทุนส่วนใหญ่ไม่ได้ทำการปิดความเสี่ยงทั้ง 100% จึงทำให้ผลการดำเนินงานเป็นบวกหรือลบก็ได้ในแต่ละช่วงเวลาตามภาวะราคาของหุ้นที่ลงทุนและขนาดของพอร์ตที่ยังมี exposure ต่อตลาดหุ้นอยู่ จุดสำคัญอยู่ที่ว่ากองทุนลักษณะนี้จะมีแนวโน้มของเปลี่ยนแปลงขึ้นหรือลงในอัตราที่น้อยกว่าดัชนีตลาดและกองทุน LTF แบบปกติที่ไม่มีการซื้อสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั่นเอง ที่ผ่านมากองทุน LTF ความเสี่ยงต่ำที่เราแนะนำมีอยู่ 2 กองด้วยกันคือ 1SMART-LTF ของ บลจ.วรรณ, และ K Strategic Defensive(KSDLTF) ของบลจ.กสิกรไทย ทั้งนี้ ทั้งสองกองมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของพอร์ตการลงทุนขนาดของการปิดความเสี่ยงและFeature อื่นๆ ดังนั้น ท้ายที่สุดจะเลือกกองไหนก็ขึ้นอยู่กับนักลงทุนเองว่ากองทุนไหนเหมาะกับรูปแบบการลงทุนของแต่ละท่านมากที่สุด
นายสานุพงศ์ กล่าวต่อว่า หากนักลงทุนต้องการความผันผวนต่ำ ไม่ห่วงเรื่องสภาพคล่อง เราแนะนำ 1SMART-LTFซึ่งที่ผ่านมามีค่าความผันผวนที่วัดด้วยค่า SD หรือ Standard Deviation ต่ำสุด แต่ข้อจำกัดคือทำการขายคืนทำได้เพียงเดือนละ 1 ครั้งเท่านั้น ส่วนนักลงทุนที่ต้องการความคล่องตัวเป็นหลัก และเป็นนักลงทุน LTF ที่ทำการบริหารกองทุนโดยการสับเปลี่ยนเข้าออกระหว่างกอง LTF แบบต่างๆตามภาวะตลาดขึ้นหรือลง เราแนะนำ KSDLTF เพราะเป็นกองที่สามารถสับเปลี่ยนภายในบลจ.ได้เร็วที่สุด คือในวันที่ T หรือวันที่ส่งคำสั่งสับเปลี่ยนเลย นอกจากนี้ ภายในบลจ.กสิกรไทยเองก็มีกองทุน LTFที่ค่อนข้างหลากหลาย ช่วยลดข้อจำกัดเกี่ยวกับทางเลือกในการสับเปลี่ยน ทั้งนี้ การสับเปลี่ยนกองทุนระหว่างบลจ.อาจมีค่าใช้จ่าย