ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต เชื่อแบงก์แม่และบริษัทในเครือช่วยหนุนบริษัทโตต่อเนื่อง วาดฝันอนาคตเป็นผู้นำในวงการ หลังช่วงที่ผ่านทุกช่องทางจำหน่ายมีการขยายตัวต่อเนื่อง พร้อมปัดคปภ.คุ้มเข้มขายแบงก์ไม่กระทบ เหตุมีการแบ่งสัดส่วน และไลเซ้นท์รองรับเพียงพอ มั่นใจช่วงที่เหลือของปีโตอีก หลัง 5 เดือนแรกผลงานสุดหรูเบี้ยกวาดเบี้ย 2.5 พันล้าน หรือโตขึ้นกว่า 20%
นายบัณฑิต เจียมอนุกุลกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิต จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ เชื่อว่าหลังจากนี้จะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและช่องทางความร่วมมือในการจำหน่ายสินค้า และการลงทุนได้ดียิ่งขึ้น
"เราจะได้ประโยนช์จากบริษัทในเครือ และช่องทางการจำหน่ายที่แบงก์ไทยพาณิชย์มีเอทีเอ็ม และสาขาทั่วประเทศมากที่สุด นอกจากนี้เรายังสามารถใช้ประโยชน์ในด้านการลงทุนที่หลากหลายจากบริษัทในเครือ และความร่วมมือในด้านต่างๆได้อีกด้วย"บัณฑิตกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทได้กำหนดวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนบริษัทเพื่อการเติบโตของบริษัทในอนาคต โดยจะเน้นในส่วนของลูกค้าเป็นหลัก ทั้ง 1.การให้บริการ และ2. การออกสินค้า ซึ่งที่ผ่านมาพฤติกรรมของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลง และหลังจากนี้บริษัทจะต้องพัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากขึ้น
สุดท้ายเป็นส่วนที่บริษัทจะต้องพัฒนาเพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทในอนาคต โดยจะแบ่งเป็น ความแข็งแกร่งทางการเงินที่ปัจจุบันเมื่อมาเป็นบริษัทภายในเครือธนาคารไทยพาณิชย์เชื่อว่าจะเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทได้มากขึ้น และอีส่วนจะเป็นการพัฒนาด้านเทคโนโลยี ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีการพัฒนาระบบเพื่อรองรับ และตอบสนองความต้องการของลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนสุดท้ายจะเป็นการ
นอกจากนี้ นายบัณฑิต ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของการเติบโตของบริษัทภายหลังเข้ามาอยู่ในเครือของธนาคารไทยพาณิชย์นั้น ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด โดยจะขอดูตัวเลขผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกก่อนที่จะมีการพิจารณาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีการเติบโตได้ดีกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเบี้ยรับรวมอยู่ที่ประมาณ 2.5 พันล้านบาทเติบโตขึ้นประมาณ 21-22% และเป็นการขยายตัวของทุกช่องทางการจำหน่าย ซึ่งแบงก์แอสชัวรันส์เติบโตที่ 22% ช่องทางตัวแทนโตที่ประมาณ 55% และสุดท้ายสเปเชียลมาร์เก็ตโตที่ประมาณ 80%
"ในอนาคตเราก็อยากเป็นผู้นำของธุรกิจแต่ 10 ปีที่ผ่านมาเราโตกว่าธุรกิจทุกปี และไม่มีใครทำได้ อีกทั้งเรายังเป็นผู้นำด้านการขายผ่านแบงก์ แถมส่วนแบ่งการตลาดเราก็เพิ่มขึ้น ซึ่งช่วงที่เหลือของปีนี้ก็น่าจะโตได้อีก เพราะในปีที่ผ่านมาเดือนเมษาและพฤษภาเราได้รับผลกระทบด้านการเมือง แต่หลังจากนี้คงจะมีการขับเคลื่อนทางธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางสเปเชียลมาร์เก็ตที่เรากำลังหาพันธมิตรใหม่และจะสังเกตได้ว่าเราโตขึ้นมามากในส่วนนี้"นายบัณฑิตกล่าว
ส่วนการที่คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) มีการออกกฎควบคุมการขายผ่านสาขาธนาคารเข้มงวดขึ้น นายบัณฑิต กล่าวว่า คงจะไม่มีผลกระทบต่อบริษัท ถึงแม้ที่ผ่านมาบริษัทจะเป็นผู้นำในการขายผ่านช่องทางนี้ แต่บริษัทเองได้มีการวางแผนงานเอาไว้รองรับแล้ว ทั้งในส่วนของใบอนุญาต และการแบ่งสัดส่วนภายในแต่ละสาขาของธนาคาร
"ที่ผ่านมาเรากับแบงก์คำนึงเรื่องนี้ตลอด และอยากให้คปภ.รู้ว่าเราใส่ใจผู้บริโภค ซึ่งกับเราคงไม่มีผลกระทบเพราะใบอนุญาตจาก 1 พันสาขา เราก็มีอยู่กว่า 8 พันคนที่มี ส่วนการแบ่งพื้นที่เราก็ทำมาอยู่แล้ว ที่จะเหลือคงจะเป็นส่วนของสัดส่วนเราก็แบ่งไว้ชัดเจน และแบงก์เองเขาก็มีมาตรฐานสูงและรักษาชื่อเสียงมาตลอดเพื่อความไว้วางใจของลูกค้าเอง"นายบัณฑิตกล่าว
นายบัณฑิต กล่าวถึงท้ายว่า การเข้ามาอยู่ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ขณะนี้ยังไม่ได้นโยบายอะไรเพิ่มมากนัก รวมถึงในส่วนของการลงทุน ซึ่งที่่ผ่านมาบริษัทดำเนินการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยมอยู่แล้ว แต่หลังจากนี้คงจะมีช่องทางการลงทุนมากขึ้น เพราะความรวมมือกับทางธนาคารและบริษัทในเครือ
อย่างไรก็ตาม การลงทุนจะยังคงความเข้มงวดอยู่ เนื่องจากมีการควบคุมความเสี่ยง แต่ที่ผ่านมาบริษัทเองลงทุนภายใต้เงื่อนไขนี้มาโดยตลอดอยู่แล้ว
นายบัณฑิต เจียมอนุกุลกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไทยพาณิชย์ประกันชีวิต จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ เชื่อว่าหลังจากนี้จะเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและช่องทางความร่วมมือในการจำหน่ายสินค้า และการลงทุนได้ดียิ่งขึ้น
"เราจะได้ประโยนช์จากบริษัทในเครือ และช่องทางการจำหน่ายที่แบงก์ไทยพาณิชย์มีเอทีเอ็ม และสาขาทั่วประเทศมากที่สุด นอกจากนี้เรายังสามารถใช้ประโยชน์ในด้านการลงทุนที่หลากหลายจากบริษัทในเครือ และความร่วมมือในด้านต่างๆได้อีกด้วย"บัณฑิตกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทได้กำหนดวิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนบริษัทเพื่อการเติบโตของบริษัทในอนาคต โดยจะเน้นในส่วนของลูกค้าเป็นหลัก ทั้ง 1.การให้บริการ และ2. การออกสินค้า ซึ่งที่ผ่านมาพฤติกรรมของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลง และหลังจากนี้บริษัทจะต้องพัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากขึ้น
สุดท้ายเป็นส่วนที่บริษัทจะต้องพัฒนาเพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทในอนาคต โดยจะแบ่งเป็น ความแข็งแกร่งทางการเงินที่ปัจจุบันเมื่อมาเป็นบริษัทภายในเครือธนาคารไทยพาณิชย์เชื่อว่าจะเสริมความแข็งแกร่งให้บริษัทได้มากขึ้น และอีส่วนจะเป็นการพัฒนาด้านเทคโนโลยี ซึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้มีการพัฒนาระบบเพื่อรองรับ และตอบสนองความต้องการของลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนสุดท้ายจะเป็นการ
นอกจากนี้ นายบัณฑิต ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของการเติบโตของบริษัทภายหลังเข้ามาอยู่ในเครือของธนาคารไทยพาณิชย์นั้น ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด โดยจะขอดูตัวเลขผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกก่อนที่จะมีการพิจารณาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา บริษัทมีการเติบโตได้ดีกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเบี้ยรับรวมอยู่ที่ประมาณ 2.5 พันล้านบาทเติบโตขึ้นประมาณ 21-22% และเป็นการขยายตัวของทุกช่องทางการจำหน่าย ซึ่งแบงก์แอสชัวรันส์เติบโตที่ 22% ช่องทางตัวแทนโตที่ประมาณ 55% และสุดท้ายสเปเชียลมาร์เก็ตโตที่ประมาณ 80%
"ในอนาคตเราก็อยากเป็นผู้นำของธุรกิจแต่ 10 ปีที่ผ่านมาเราโตกว่าธุรกิจทุกปี และไม่มีใครทำได้ อีกทั้งเรายังเป็นผู้นำด้านการขายผ่านแบงก์ แถมส่วนแบ่งการตลาดเราก็เพิ่มขึ้น ซึ่งช่วงที่เหลือของปีนี้ก็น่าจะโตได้อีก เพราะในปีที่ผ่านมาเดือนเมษาและพฤษภาเราได้รับผลกระทบด้านการเมือง แต่หลังจากนี้คงจะมีการขับเคลื่อนทางธุรกิจมากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางสเปเชียลมาร์เก็ตที่เรากำลังหาพันธมิตรใหม่และจะสังเกตได้ว่าเราโตขึ้นมามากในส่วนนี้"นายบัณฑิตกล่าว
ส่วนการที่คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) มีการออกกฎควบคุมการขายผ่านสาขาธนาคารเข้มงวดขึ้น นายบัณฑิต กล่าวว่า คงจะไม่มีผลกระทบต่อบริษัท ถึงแม้ที่ผ่านมาบริษัทจะเป็นผู้นำในการขายผ่านช่องทางนี้ แต่บริษัทเองได้มีการวางแผนงานเอาไว้รองรับแล้ว ทั้งในส่วนของใบอนุญาต และการแบ่งสัดส่วนภายในแต่ละสาขาของธนาคาร
"ที่ผ่านมาเรากับแบงก์คำนึงเรื่องนี้ตลอด และอยากให้คปภ.รู้ว่าเราใส่ใจผู้บริโภค ซึ่งกับเราคงไม่มีผลกระทบเพราะใบอนุญาตจาก 1 พันสาขา เราก็มีอยู่กว่า 8 พันคนที่มี ส่วนการแบ่งพื้นที่เราก็ทำมาอยู่แล้ว ที่จะเหลือคงจะเป็นส่วนของสัดส่วนเราก็แบ่งไว้ชัดเจน และแบงก์เองเขาก็มีมาตรฐานสูงและรักษาชื่อเสียงมาตลอดเพื่อความไว้วางใจของลูกค้าเอง"นายบัณฑิตกล่าว
นายบัณฑิต กล่าวถึงท้ายว่า การเข้ามาอยู่ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ขณะนี้ยังไม่ได้นโยบายอะไรเพิ่มมากนัก รวมถึงในส่วนของการลงทุน ซึ่งที่่ผ่านมาบริษัทดำเนินการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยมอยู่แล้ว แต่หลังจากนี้คงจะมีช่องทางการลงทุนมากขึ้น เพราะความรวมมือกับทางธนาคารและบริษัทในเครือ
อย่างไรก็ตาม การลงทุนจะยังคงความเข้มงวดอยู่ เนื่องจากมีการควบคุมความเสี่ยง แต่ที่ผ่านมาบริษัทเองลงทุนภายใต้เงื่อนไขนี้มาโดยตลอดอยู่แล้ว
