ผู้จัดการกองทุน บลจ.อยุธยาประเมินจีดีพีปีนี้ โตถึง 5% และเงินเฟ้อ 4 % แนะลงทุน ตลาดหุ้น อสังหาริมทรัพย์และสินค้าโภคภัณฑ์ ล้อเศรษฐกิจขาขึ้น พร้อมเอาชนะเงินเฟ้อได้
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่สายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อยุธยา เปิดเผยว่า ทิศทางเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว เช่นเดียวกับเศรษฐกิจไทยใน 1-2 ปีข้างหน้าซึ่งอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวและเฟื่องฟูในลำดับต่อไป จึงมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้น อสังหาริมทรัพย์และสินค้าโภคภัณฑ์จะเหมาะกับวงจรการฟื้นตัวของเศรษฐกิจดังกล่าว
สำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2554 บลจ.อยุธยาคาดไว้ที่ระดับ 5% ต้นๆ อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ 4% ในปีนี้และเกิน 4% ในปีหน้า ดังนั้นต้องฝากเงินหรือลงทุนให้ได้มากกว่า 4% และเมื่อเงินเฟ้อยังสูงการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสินค้าโภคภัณฑ์น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี ส่วนดอกเบี้ยขาขึ้น การลงทุนในเงินฝากและตั๋วเงินระยะสั้นน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี
“ภาพรวมไทยยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว การบริโภคภายในประเทศที่ดีขึ้น การก่อสร้างรถไฟฟ้าหลายสายและแอร์พอร์ตลิ้งค์ ซึ่งทำให้ราคาที่ดินในแนวรถไฟฟ้าปรับตัวขึ้น จึงมองว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ใน 5-10 ปีข้างหน้ายังดี”นายประภาส กล่าว
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยปัจจุบันดัชนีซื้อขายแถว 1,000 จุด บนสัดส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (พีอี) ที่ 12 เท่าและคาดว่าปีหน้าจะอยู่ที่ 11 กว่าเท่า ซึ่งยังถูกกว่าตลาดหุ้นเอเชีย เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเติบโตน้อยกว่าเศรษฐกิจในภูมิภาค ทำให้ราคาหุ้นจึงถูกกว่า โดยเป็นรองตลาดหุ้นเกาหลีใต้เท่านั้น ขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนยังเติบโต โดยปีนี้คาดว่าจะโต
นายประภาส กล่าวว่า สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐมองว่ายังอยู่ในช่วงของการแก้ไขปัญหาและรอการฟื้นตัวจากนี้ 5-10 ปีเศรษฐกิจจึงจะแข็งแรง เพราะปัญหาหนี้สินและขาดดุลยังสูง โดยมองว่าปีนี้และปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐจะเติบโตกว่า 2-3% ขณะที่ยุโรปแม้จะมีปัญหาเรื่องหนี้ แต่โดยรวมในปีนี้และปีหน้ายังเติบโต 1-2% ส่วนญี่ปุ่นหลังจากเกิดสึนามิทำให้ใน 2 ปีข้างหน้าจะมีการลงทุนค่อนข้างมาก สำหรับจีนยังคงโดดเด่นที่สุดในเอเชีย 5 ปีที่ผ่านมาเติบโต 10% และปีหน้าคาดว่าจะโต 7% แต่อัตราเงินเฟ้อยังสูง ทำให้รัฐบาลต้องเข้ามาแทรกแซงไม่ให้ตลาดหุ้นร้อนแรงเกินไป หลังจากอสังหาริมทรัพย์ร้อนแรงไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม มองว่าหลังจากภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลง รัฐบาลจีนจะกระตุ้นตลาดหุ้นต่อ เพราะเมื่อเครื่องจักรหนึ่งตัวชะลอก็จะเร่งอีกตัว ดังนั้นหุ้นจีนจึงเป็นอีกตลาดหนึ่งที่น่าลงทุนในส่วนของทองคำมองว่าควรมีอยู่ในพอร์ตการลงทุน เพราะราคายังปรับตัวได้ต่อเนื่องจากเงินเฟ้อที่สูง รวมถึงความขัดแย้งตะวันออกกลางที่หนุนให้นักลงทุนมาซื้อทองเพื่อความปลอดภัย