บลจ.ฟินันซ่า ชี้ เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว แนะให้ลงทุน ในสินค้าโภคภัณฑ์ พร้อมเตรียมออกกองเอฟไอเอฟ ในเดือนหน้าลงทุนสินทรัพย์ทั่วโลก ระบุการเมืองเป็นปัจจัยบวกต่อดัชนีมากกว่า พร้อมฝากรัฐบาลอัดเงินทุนโครงสร้างพื้นฐาน รับการเติบโตในระยะยาว คาด หุ้นไทย วิ่งถึง 1,200จุด ในครึ่งปีหลัง
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการบริหาร (บลจ.)ฟินันซ่า จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงระยะที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัวนี้ การลงทุนในหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์เป็นการลงทุนที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน ซึ่งบริษัทเองมี “กองทุนเปิดหน่วยลงทุนฟินันซ่า โกลบอล คอมมอดิตี้ (FAM GCF)” ซึ่งมีนโยบายลงทุนในกองทุน LSAM SF 2 PLC - CMCI Tracking Fund ซึ่งมีผลตอบแทนอ้างอิงกับดัชนีสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกซึ่งประกอบด้วย 5 ประเภทหลัก ได้แก่ 1) พลังงาน 2) โลหะมีค่า 3) โลหะอุตสาหกรรม 4) การเกษตร และ 5) ปศุสัตว์ รวมทั้ง “กองทุนเปิดหน่วยลงทุนฟินนันซ่า เอเชี่ยน คอนซัมชั่น (FAM ACF)” ที่ลงทุนในกองทุน UBS (Lux) Equity Fund - Asian Consumption ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นบริษัทที่ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคเพื่อคนเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ซึ่งน่าจะได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียที่ยังเป็นกลุ่มประเทศผู้นำการเติบโตของโลกในปัจจุบัน
ขณะเดียวกันในเดือนหน้าบริษัทเตรียมจะออกกองทุนต่างประเทศเพิ่มอีก 1 กองทุน ซึ่งมีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภททั่วโลกผ่านกองทุนอีทีเอฟ โดยบริษัทจะเป็นคนบริหารจัดการลงทุนเองทั้งหมด แต่จะเน้นเฉพาะกลุ่มนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจและสามารถรับความเสี่ยงในการลงทุนได้เท่านั้น”
นายธีรพันธุ์ ยังกล่าวอีกว่า ในส่วนของปัจจัยการเมืองในประเทศในปัจจุบันน่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทยมากกว่าลบ เพราะว่าทุกพรรคสามารถไปหาเสียงได้ทุกภาค การต่อต้านไม่รุนแรงเหมือนที่คาด แล้วทุกฝ่ายอยากให้กับเข้ามาอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายเพื่อความสงบของประเทศ และไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาลก็คงจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม อยากฝากถึงรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะเข้ามาควรจะมีการลงทุนระยะยาวเพื่อวางโครงสร้างพื้นฐานในด้านสาธารณูปโภคต่างๆ เอาไว้ให้ประเทศในอนาคต เพราะไทยเองก็ถูกจับตาว่าเป็นอันดับ 7 ของประเทศที่น่าจับตาในอนาคต จึงควรมีการลงทุนระยะยาวเพื่อวางรากฐานและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับประเทศไทยในอนาคตด้วย อย่างไรก็ตามในระยะสั้นตลาดหุ้นไทยยังคงเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบแคบไม่ไปไหนโดยเจอแรงกดดันจากทั้งปัจจัยภายในประเทศและปัจจัยภายนอกในต่างประเทศเองด้วย
นอกจากนียังกล่าวถึง ตลาดหุ้นไทย ด้วยว่าการที่สหรัฐไม่ต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือ QE-2 นั้นส่งผลให้ตลาดมีความผันผวนในระยะสั้น อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งหลังของปี 54เชื่อว่าเงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติยังจะไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียรวมทั้งหุ้นไทยด้วย ดังนั้นบริษัทจึงมองสุดสูงสุดของดัชนีหุ้นๆไทยไว้ที่ 1,180 - 1,200 จุด และน่าจะไปถึงได้ในช่วงครึ่งหลังของปี54นี้ และตลาดหุ้นไทยไม่น่าจะหลุดระดับ 1,000 จุด ลงไป แต่ในช่วงที่ตลาดหุ้นยังผันผวนอยู่บริษัทก็ยังชะลอการออกกองทุนทริกเกอร์ฟันด์ออกไปก่อน เพราะไม่อยากให้นักลงทุนเสียโอกาสในการลงทุนแต่ประการใด