เอช ไลฟ์ ประกันชีวิตลั่นติดท็อปเท็นใน 5 ปี เดินหน้าเจาะตลาดภูธรมากขึ้น มั่นใจอนาคตธุรกิจประกันในไทยยังสดใสและเติบโตได้อีกมาก ขณะเดียวกันเตรียมทุ่มงบสร้างแบรนด์ ทั้งโฆษณา จัดกิจกรรม รวมถึงโซเซียลมีเดีย หวังคนไทย-วัยรุ่น รู้จักบริษัทมากขึ้น
นายอาเธอร์ เจ เบลเฟอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำประเทศไทย บริษัท เอช ไลฟ์ แอสชัวรันซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ประเทศไทยนับเป็นตลาดที่สำคัญของบริษัทประกันชีวิต เนื่องจากประชากรไทยยังต้องการมีประกันชีวิตอีกจำนวนมาก ซึ่งในปีที่ผ่านมาภาพรวมของธุรกิจประกันชีวิตของประเทศไทยมีการเติบโตถึงกว่า 14% และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต โดยบริษัทเองได้เล็งเห็นโอกาสในการประกอบธุรกิจในประเทศไทย
ด้าน นายเบน อาศนะเสน ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เอช ไลฟ์ แอสชัวรันซ์ จำกัด กล่าวว่า ในปีที่ผ่านมาธุรกิจประกันถือว่ามีการเติบโตสูง โดยในส่วนของบริษัทเองมีการขยายตัวถึง 25% คิดเป็นเบี้ยรับรวมประมาณ 2.2 พันล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็น 4.5 แสนรายในปัจจุบัน ขณะที่ในไตรมาสแรกของปีนี้บริษัทเองยังมีผลการดำเนินงานเติบโตถึง 36% คิดเป็นเบี้ยรับรวม 572 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีของบริษัที่จะสามารถขยายฐานลูกค้าเป็น 5-5.5 แสนราย และเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 20-30% ในปี 2554
"ช่วงไตรมาสแรกเรายังคงเติบโตมากกว่าธุรกิจ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของบริษัท และหลังจากนี้ภายใน 5 ปีเรายังตั้งเป้าติดอันดับท็อปเท็นของส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจประกันของไทย หลังจากที่ปัจจุบันเราอยู่ในอันดับที่ 14 ของธุรกิจ โดยหลังจากนี้เราจำเป็นที่จะต้องสร้างผลการดำเนินงานที่เติบโตเป็น 2 เท่าของธุรกิจให้ได้ทุกปีเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้"นายเบนกล่าว
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานในปีนี้ บริษัทวางแผนใช้งบประมาณเพื่อการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักของคนไทยมากขึ้นผ่านทั้งช่องทางการโฆษณา การจัดกิจกรรมต่างๆ รวมถึงโซเชียลมีเดียที่จะทำการเจาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้น นอกจากนี้ยังเตรียมขยายฐานลูกค้าไปในต่างจังหวัดมากขึ้น หลังจากที่ผ่านมากระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นส่วนใหญ่ โดยปัจจุบันบริษัทมีฐานลูกค้าในกรุงเทพฯประมาณ 70% และต่างจังหวัด 30% ซึ่งหลังจากนี้จะพยายามเปลี่ยนแปลงสัดส่วนดังกล่าวเป็น 55:45% ให้ได้ในอนาคต
นายเบน กล่าวอีกว่า นอกจากการสร้างแบรนด์แล้วในด้านของสินค้าบริษัทยังมีแผนการออกกรมธรรม์เพื่อให้ครอบคลุมกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น หลังจากบริษัทได้มีการทำวิจัยอย่างละเอียดเพื่อให้ได้กรมธรรม์ที่หลากหลายและตรงตามความต้องการของทั้งลูกค้าใหม่ และลูกค้าเดิมของบริษัท โดยในส่วนของลูกค้าเดิมของบริษัทคาดว่า หลังจากที่คุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทแล้วน่าจะมีแนวโน้มในการซื้อกรมธรรม์ประเภทอื่นเพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งกรมธรรม์ที่บริษัทออกมาในส่วนนี้จะพิเศษเฉพาะลูกค้าเดิมเท่านั้น
ทั้งนี้ ในส่วนของช่องทางการจำหน่าย ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนการขายผ่าน 3 ช่องทางคือ 1.ขายผ่านธนาคารประมาณ 60% 2.ขายผ่านตัวแทน 35% 3.การขายผ่านทางโทรศัพท์ประมาณ 5% แต่ในอนาคตบริษัทจะพยายามปรับสัดส่วนให้การขายผ่านตัวแทนเพิ่มมากขึ้นเป็น 40% และขายผ่านแบงก์เหลือ 50% ส่วนการขายผ่านทางโทรศัพท์น่าจะอยู่ที่ 10%
"บริษัทจะให้ความสำคัญกับตัวแทนจำหน่ายมากขึ้นหลังจากเดิมเรามีตัวแทนจำหน่ายประมาณ 1 พันคน เนื่องจากมองว่าหากต้องการขยายฐานลูกค้าไปในต่างจังหวัดมากขึ้น การเข้าถึงลูกค้าผ่านทางตัวแทนจำหน่ายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าไปพูดคุยกับลูกค้ากลุ่มนี้ ส่วนในการขายผ่านแบงก์นั้นเราจะพยายามหาพัธมิตรใหม่เพิ่ม หลังจากเดิมเรามีธนาคารทิสโก้ และธนาคารเกียรตินาคินเป็นพันธมิตร โดยหลังจากนี้น่าจะมีบริษัทลิสซิ่ง และโบรกเกอร์ต่างๆ มาร่วมกับเรามากขึ้นเพื่อขยายช่องทางการจำหน่าย"นายเบนกล่าว