บลจ. ธนชาต แนะนักลงทุนกระจายความเสี่ยงต่างประเทศ เหตุมีทางเลือกลงทุนหลากหลายกว่า ชู 3 กองทุนเอฟไอเอฟในพอร์ต น่าสน
นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ธนชาต จำกัด กล่าวว่า สำหรับกองรวมต่างประเทศ หรือ เอฟไอเอฟ เรายังคงเน้นลงทุนมากเหมือนเดิม เพราะเราเห็นว่าการลงทุนในต่างประเทศยังมีตลาดการลงทุนที่เปิดกว้างมากกว่าตลาดในเมืองไทยที่มีเพียงตลาดเดียว ซึ่งเมื่อเทียบกับตลาดในต่างประเทศแล้วมีหลากหลายผลิตภัณฑ์และหลากหลายตลาด
ทั้งนี้ กองทุนรวมต่างประเทศของบริษัท ทั้งกองทุนรวม T - INFRA , กองทุนรวม T-MAP และกองทุนรวม T-GlobalBond ซึ่งกองทุนรวม T-GlobalBond เองเน้นลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกผ่านกองทุนเทมเพิลตันโกลบอล บอนด์ ฟันด์ เป็นอีกกองทุนที่บริษัทยังคงแนะนำ เพราะกระจายลงทุนในตราสารหนี้หลายๆประเทศ ซึ่งตั้งแต่ตั้งกองทุนในปี2551 จนถึงปัจจุบัน ได้รับผลตอบแทนดีต่อเนื่อง ขณะที่กองทุนรวม T-MAP เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในประเภทสินทรัพย์ในต่างประเทศหลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยงเช่น หุ้น ตราสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งกองทุนดังกล่าวมีความยืดหยุ่นในการปรับน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทตามสภาพเศรษฐกิจและตลาดการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงที่หลากหลาย และเป็นการเพิ่มช่องทางสร้างผลตอบแทนในการช่วยลดความเสี่ยงด้วย
"กองทุน T-MAP เราเริ่มเปิดขายเมื่อช่วงปี 2552 จะเห็นได้ว่าตอนนั้นไม่ค่อยมีนักลงทุนสนใจเพราะมันไม่ค่อยตื่นเต้น แต่ปีที่แล้วผลตอบแทนให้เกิน 9% คือการที่มันเป็นผสมพอร์ต ดังนั้นผู้จัดการกองทุนรวมจะสามารถที่จะปรับพอร์ตไปได้ ซึ่งถือว่ามันมีข้อดีที่สามารถทำให้ผลตอบแทนได้ถึง 9% เทียบกับพันธบัตรหรือตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 1- 2%" นายบุญชัยกล่าว
นายตระกูลจิตร จิตตไสยะพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ. ธนชาต เปิดเผยว่า ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯในปีนี้มองว่า มีการเติบโตที่ดีถ้าเทียบจากปีก่อน เนื่องจากว่าบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ได้มีการเติบโตเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่จะยังคงเก็บเงินสดไว้เป็นจำนวนมากหลังจากที่วิกฤตจากครั้งที่ผ่านมาจึงยังไม่ได้นำเงินไปลงทุนแต่อย่างใด ขณะเดียวการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในตอนนี้ก็ยังไม่มีแนวโน้มที่จะขึ้นรวมถึงการจ้างงานก็ยังมีสูงขึ้นตามมาด้วย
ส่วนการลงทุนในตลาดเกิดใหม่มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดหุ้นเองที่ยังคงให้ผลตอบแทนที่ดีอยู่ แต่เมื่อเทียบกับช่วงปีที่ผ่านมาแล้วนั้นอาจจะไม่สูงมากนัก ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นยุโรปเริ่มทยอยปรับตัวดีขึ้น
"หนักวิเคราะห์หลายรายปัจจุบันได้แนะนำให้ให้นักลงทุนกระจายพอร์ตการลงทุน และให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศมากขึ้นเนื่องจากราคาหุ้นในประเทศไทยไม่ถือว่าถูกเหมือนในอดีต เพราะในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ปรับขึ้นมาเกือบ100% ขณะเดียวกันยังแนะนำให้เพิ่มการลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์เพื่อสร้างกำไรชนะเงินเฟ้ออีกด้วย" นายตระกูลจิตร กล่าว