กูรู ชี้ ตลาดหุ้นไทยทะยาน 1,050 จุดในเดือนมีนา หลังนักลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้าลงทุน เหตุมั่นใจในการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน แต่หุ้นไทยทั้งปีจะผันผวนมาก แนะลงทุนในตะกร้าหุ้นทั้งกองทุน ETF หรือ TDEX
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้นำวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กิมเอ็ง จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะมีความผันผวนมาก โดยมองว่านักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกหลังจากที่ก่อนหน้านมีการขายทำกำไรออกมาไปมาก ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินลงทุนต่างชาติเข้าตลาดหุ้นกว่า 14,000 ล้านบาท และคาดว่าจะเข้ามาอีกต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นในช่วงเดือนมีนาคมนี้ ดัชนีน่าจะวิ่งขึ้นไปถึงระดับ 1,050 จุด โดยนักงทุนต่างชาติมองว่าหุ้นไทยยังน่าสนใจ จากผลประกอบการของบริษัทต่างๆที่ออกมาดีในปีที่ผ่านมาและทำให้การประมาณการเติบโตในปี 2554 ปรับเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามมองว่าในปีนี้ตลาดหุ้นไทยมีความผัผวน จึงแนะนำว่าให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นและขายออกเป็นจังหวะ โดยเลือกหุ้นที่ยังไม่ได้ประกาศผลประกอบการออกมา รวมถึงเลือกซื้อหุ้นในรูปแบบตะกร้าหุ้น เช่น การลงทุนในกองทุน ETF หรือ TDEX เพราะหุ้นกลุ่ม SET50 น่าจะยังขึ้นต่อไปได้ขณะเดียวกันปัญหาในตะวันออกกลางอาจส่งให้พลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้น
นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล. เคจีไอ จำกัด มองว่า ตลาดหุ้นไทยในปีนี้จะมีความผันผวนมากกว่าในปีที่ผ่านมา โดยนักลงทุนต่างชาติจะมองปัจจัยในเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนด้วย ซึ่งทาง บล.เคจี มองว่าเศรษฐกิจของสหรรัฐฯที่ยังไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและมีแนวโน้มว่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะอ่อนค่าลงจากปัญหาเศรษฐกิจในประเทศซึ่งส่งผลถึงอัตราแลกเปลี่ยนทั่วโลกรวมทั้งค่าเงินบาทด้วย ดังนั้นค่าเงินบาทจึงมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นและดึงดูดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ
ส่วนปัจจัยทางการเมืองนั้น มองว่าการเลือกตั้งน่าจะเกิดขึ้นในกลางปีนี้จากคำกล่าวของนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจว่าในหลายครั้งที่ผ่านมาที่มีการเลือกตั้ง ตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นไปประมาณ 10% เนื่องจากคาดหวังกับการทำหน้าที่ของรัฐบาลที่จะเข้ามาใหม่ ดังนั้นจึงคาดว่าตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวขึ้นได้ในการเลือกตั้งช่วงกลางปีนี้และอาจส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นไปอีก
ด้านนายชัยพฤกษ์ กุลกาญจนาธร ผู้ช่วยผู้อำนายการอาวุโส ฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้หุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนจากการเติบโตของบริษัทจดทะเบียน มากกว่าราคาหุ้นเพราะราคาได้ปรับขึ้นไปสูงมาก ซึ่งคาดว่าในปีนี้บริษัทจดทะเบียนในตลาดน่าเติบโตอยู่ที่ประมาณ 16-18% ส่วนแนวโน้มของราคาน้ำมันว่า ปัญหาในตัวตะวันออกกลางขณะนี้ หากดกิดปัญหารุนแรงขึ้นมาจะส่งผลกระทบต่อหลายประเทศ โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างแน่นอนแต่อย่างไรก็ตามทิศทางของราคาน้ำมันจะปรับตัวขึ้นไปตามการเติบโตของเศรษฐกิจอยู่แล้ว
ขณะที่นายพีรณัฐ สวัสดิจันทร์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บลจ.วรรณ จำกัด ตลาดหุ้นจะได้รับผลกระทบจากข่าวสารต่างๆบ้างโดยเฉพาะหุ้นในกลุ่ม SET50 ดังนั้นนักลงทุนจึงต้องมีการกระจายการลงทุน
นางสาวดารบุษป์ ปภาพจน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สางานพัฒนาธุรกิจและการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย จำกัด กล่าวถึง เศรษฐกิจของประเทศจีนว่า ขณะนี้ประเทศจีนกำลังชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจลง ซึ่งในระยะสั้นนี้ผู้นำรัฐบาลประเทศจีนได้มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับใหม่ที่จะดำเนินนโยบายลดช่องว่างทางด้านรายได้เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับประชาชนในประเทศ ซึ่งขณะนี้เศรษฐกิจของจีนมีความแข็งแกร่งและต้อการพึ่งพาตนเองมากขึ้น ดังนั้นเชื่อว่าในระยะกลางถึงระยะยาวนี้ประเทศจีนจะดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจได้ดีมากขึ้น