บลจ. ทิสโก้ประเมินตลาดหุ้นไทยยังสดใส เหตุได้แรงหนุนจากเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การเลือกตั้งใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ และการไหลกลับเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ มั่นใจดัชนีหุ้นแตะ1,200 จุดตามเป้าหมายได้ภายในช่วงครึ่งปีแรก พร้อมย้ำปัญหาไทย-กัมพูชา หากลากยาวอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่มั่นใจไม่กระทบในระยะยาว
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ หัวหน้าฝ่ายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทิสโก้ จำกัด กล่าวว่า บลจ.ทิสโก้ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปีนี้ยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยเป้าหมายดัชนีสูงสุดในปีนี้คาดว่าจะอยู่ 1,200 จุด ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนในหลายด้าน ประกอบด้วย เศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังคงเติบโตได้ในระดับที่ดี แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงบ้าง เช่น อัตราเงินเฟ้อในปีนี้ที่อาจจะสร้างแรงกดดันมากขึ้นเรื่อย ๆ จากราคาน้ำมันที่ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงราคาอาหารก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าปัญหาดังกล่าวยังอยู่ในวิสัยที่สามารถควบคุมได้ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (Headline Inflation) ในปีนี้จะอยู่ที่ 3%-4% และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (Core Inflation) จะอยู่ที่ 2%-3%
นอกจากนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังคงเดินหน้านโยบายอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นมาหลายครั้ง การปรับขึ้นดังกล่าวจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในระบบยังคงติดลบอยู่ ซึ่งหากปล่อยให้มีการติดลบนานเกินไปก็จะมีการผลต่อระบบเสถียรภาพทางการเงิน และอาจทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อขึ้นมาอีก ดังนั้นนโยบายอัตราดอกเบี้ยที่ยังเป็นขาขึ้นจึงช่วยลดแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อได้
ส่วนปัจจัยบวกอีกประการ คือเรื่องของการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกจะช่วยกระตุ้นตลาดได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ยังใกล้ถึงฤดูการจ่ายปันผล โดยในช่วงกลางเดือนนี้บริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ จะทยอยประกาศผลประกอบการ ซึ่งตัวเลขที่ออกมาถือว่าดีมากก็จะเป็นอีกปัจจัยที่มาสนับสนุนตลาดหุ้นให้คึกคักขึ้นด้วย ส่วนดัชนีหลักทรัพย์ของไทยที่ปรับฐานมาตั้งแต่ช่วงต้นปี ถือว่าได้ปรับลดลงมาพอสมควร ดังนั้นต่อจากนี้ด้วยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่ยังแข็งแกร่งจะเป็นแรงดึงดูดให้ดัชนีหุ้นไทยสามารถกลับขึ้นมาดีได้อีกครั้ง
นายสาห์รัช กล่าวต่อว่า ขณะที่ปัจจัยในต่างประเทศนั้น โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจในแถบยุโรป ซึ่งมีบางประเทศอาจจะถึงขั้นถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลง แต่ปัญหาดังกล่าวจะกระทบต่อภาวะตลาดหุ้นไทยเป็นบางครั้งบางคราวและเป็นเพียงระยะสั้นเท่านั้น ส่วนปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา แม้จะเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น แต่ด้วยปัญหาที่แท้จริงยังไม่ได้การแก้ปัญหาได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขการว่างงาน รวมถึงตัวเลขของหนี้สาธารณะที่ยังอยู่ในระดับสูง และมาตรการผ่อนคลายการเงินเชิงปริมาณรอบ 2 (QE2) ที่จะหมดลงในช่วงกลางปี ทำให้ยังมีความกังวลว่ารัฐบาลสหรัฐฯ จะมีการออกมาตรการ QE3 ออกมาเพิ่มเติมอีกหรือไม่ ดังนั้นเชื่อว่าเม็ดเงินลงทุนจะหันกลับมาลงทุนในภูมิภาคเอเชียที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับที่สูงกว่ามากอีกครั้งซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย
สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อดัชนีหุ้นไทยที่เพิ่มเติมเข้ามาตอนนี้ คือเรื่องความขัดแย้งกับประเทศกัมพูชา ซึ่งยังคงต้องรอดูท่าทีว่าปัญหาดังกล่าวจะลุกลามออกไปอีกแค่ไหน ซึ่งหากปัญหาดังกล่าวยังไม่จบก็อาจจะมีผลกระทบต่อความมั่นใจของนักลงทุนบ้าง แต่เชื่อว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่ได้ส่งผลกระทบในระยะยาว
“จากปัจจัยโดยรวมทั้งหมด ถือว่าเป็นสัญญาณบวกต่อตลาดหุ้นไทย ทำให้เราเชื่อว่าดัชนีจะสามารถวิ่งขึ้นไปแตะระดับที่ 1,200 จุด ได้ตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยเป้าหมาย PE ที่เรามองในปีนี้อยู่ที่ประมาณ 14 เท่า จากปัจจุบันอยู่ที่ 12 เท่า ซึ่งยังถือว่ายังมี Upside อยู่ประมาณไม่ต่ำกว่า 20% ดังนั้นตลาดหุ้นไทยจึงเป็นอีกแหล่งการลงทุนที่น่าสนใจในขณะนี้” นายสาห์รัช กล่าว