ผู้จัดการกองทุนมองความผันผวน ศก.โลก ยืดเวลาขึ้นดอกเบี้ย แนะลงทุนบอนด์ระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี พักเงินไว้ก่อน ด้าน บลจ. พร้อมใจส่งกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น รองรับดีมานด์ ชูทางเลือก ในประเทศและเกาหลีใต้
นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ รองกรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) แอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า แม้แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในไตรมาส 1 ปี 2553 น่าจะมีการปรับขึ้นมาโดยเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 3-4% ซึ่งมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นต่างๆ จากภาครัฐ
แต่คาดว่าในไตรมาส 2 ถึงไตรมาส 3 ที่จะถึงนี้ อัตราเงินเฟ้อน่าจะมีการปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 3% ได้ เนื่องจากฐานของอัตราเงินเฟ้อในปีที่ผ่านมานั้นอยู่ในระดับสูง และแนวโน้มราคาน้ำมันและสินค้าอุปโภคอื่นๆไม่น่าจะปรับขึ้นได้มากเมื่อเปรียบกับระดับราคาปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ปัจจัยความกังวลในเศรษฐกิจของยุโรป และปัจจัยความไม่แน่นอนในนโยบายภาครัฐของประเทศต่างๆ ในภาวะปัจจุบัน น่าจะเป็นปัจจัยกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงต่อไป
โดยคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยอาจจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับปัจจุบัน หากว่าระดับราคาน้ำมันต่ำกว่า 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และอาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในช่วงปลายไตรมาส 2 หรือไตรมาส 3 หากระดับราคาน้ำมันปรับตัวสูงกว่า 80 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพื่อลดแรงกดดันด้านราคาที่จะสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน
"ในช่วงนี้จึงยังคงแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นๆ ไม่เกิน 1 ปี เพื่อรอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยในวันที่ 17 กุมภาพันธ์นี้ บริษัทจะเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ กองทุนเปิดแอสเซทพลัสแอ็คทีฟตราสารหนี้ 4 ซึ่งจะลงทุนในตั๋วแลกเงินในประเทศ ผลตอบแทนหลังจากหักค่าใช้จ่ายกองทุนแล้ว อยู่ที่ประมาณ 1.40%ต่อปี โดยมีรอบการลงทุนนี้ประมาณ 6 เดือน"นายวินกล่าว
ด้านนายสมชัย บุญนำศิริ กรรมการผู้จัดการ บลจ. กรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดการเงินเริ่มมีความผันผวน โดยมีสาเหตุมาจากความกังวลต่อปัญหาหนี้ของรัฐบาลในกลุ่มประเทศยุโรป
จึงทำให้นักลงทุน สนใจลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มขึ้น ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของประเทศต่างๆ และเกาหลีใต้ปรับตัวลดลง
ซึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนจากการป้องกันความเสี่ยงของสกุลเงินวอนต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่ต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงของสกุลเงินบาทต่อดอลล่าร์สหรัฐฯ เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น
หลังจากค่าดอลล่าร์ฯ เริ่มกลับมาแข็งค่า จึงทำให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้เมื่อแปลงกลับเป็นสกุลเงินบาทเริ่มปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้บริษัทเสนอขายกองทุนบอนด์เกาหลีต่อเนื่อง โดยอยู่ระหว่างการเปิดจำหน่ายกองทุนรวมกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 7 เดือน 5 อายุโครงการ 7 เดือน มูลค่า 1,500 ล้านบาท
โดยจะลงทุนในพันธบัตรภาครัฐประเทศเกาหลีใต้ทั้ง 100% พร้อมทำการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 1.60% ต่อปี โดยจะเปิดขายหน่วยลงทุนตั้งเเต่วันนี้ถึง 16 กุมภาพันธ์ 2553 นี้
นอกจากนี้ บริษัทได้เพิ่มทางเลือกให้กับผู้ลงทุนที่ยังสนใจลงทุนตราสารหนี้ในประเทศ และลงทุนในระยะสั้น โดยบริษัทอยู่ระหว่างการเปิดจำหน่าย กองทุนเปิดกรุงไทยสมาร์ท อินเวส 3 เดือน 2 ถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2553
โดยกองทุนมีสัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรภาครัฐ และตั่วเงินระยะสั้น ซึ่งผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนประมาณการที่ 1.20%ต่อปี
นายสมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ กำหนดออกกองทุนเพื่อลงทุนในพันธบัตรเกาหลีใต้เพิ่มอีก 3 รุ่น คือรุ่นที่ 50, รุ่นที่ 52 และรุ่นที่ 53 อายุของกองทุนอยู่ระหว่าง 3 เดือนถึง 1 ปี 9 เดือน
โดยกองทุนทั้ง 3 รุ่น มีนโยบายลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ พร้อมทำสัญญาปกป้องความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
และคาดว่าจะให้ผลตอบแทนรวมจากการลงทุนภายหลังการหักค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 1.30%-2.60% ต่อปี ตามลำดับ โดยกำหนดเปิดขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 10-16 กุมภาพันธ์ นี้
ขณะที่รายงานข่าวจากบลจ.ธนชาต เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศเพิ่มอีก 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ต่างประเทศ 33 อายุโครงการประมาณ 18 เดือน มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท
และกองทุนเปิดธนชาตตราสารหนี้ต่างประเทศ 39 อายุโครงการประมาณ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท โดยทั้ง 2 กองทุนจะลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐของประเทศเกาหลีใต้ พร้อมป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน