เศรษฐกิจในเดือนธันวาคม 2552 ที่ผ่านมาเติบโตได้ดีเกินคาด ที่สำคัญเป็นผลมาจากสภาวะเศรษฐกิจในต่างประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ได้ส่งผลให้ผู้บริโภคในหลายประเทศมีความมั่นใจในการใช้จ่ายมากขึ้นในช่วงเทศกาลรื่นเริงปลายปี
ขณะเดียวกันภาคธุรกิจก็มีการผลิตและสั่งซื้อสินค้าเพื่อปรับเพิ่มระดับสินค้าคงคลัง เพื่อรองรับแนวโน้มการฟื้นตัวของอุปสงค์ อีกทั้งยังเพื่อสะสมสต็อกสินค้าวัตถุดิบเตรียมไว้ก่อนที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะปรับสูงขึ้นไปอีกในอนาคต
ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้ส่งผลให้การผลิตในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกเติบโตสูงอย่างมากในเดือนธันวาคม โดยจากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย มูลค่าการส่งออกขยายตัวสูงถึงร้อยละ 26.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ 35.7 นับเป็นอัตราการเติบโตที่สูงสุดนับตั้งแต่เริ่มมีการรายงานข้อมูลในปี 2530
นอกจากนี้ บรรยากาศทางการเมืองที่ผ่อนคลายลง ประกอบกับการทำกิจกรรมการตลาดเชิงรุกของผู้ประกอบการในธุรกิจท่องเที่ยว ได้ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมาก
โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในเดือนธันวาคมมีระดับรายเดือนที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.68 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 45.2
การเติบโตก้าวกระโดดในภาคการผลิต การส่งออก และการท่องเที่ยว บวกกับอานิสงส์ของราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลต่อเนื่องมาสู่การขยายตัวในภาคเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น การขนส่ง การก่อสร้าง และการใช้จ่ายของผู้บริโภค
ซึ่งหนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้สูงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ โดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าจีดีพีที่ปรับผลของฤดูกาลในไตรมาสที่ 4/2552 จะขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 ที่ประมาณร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สูงกว่าที่ขยายตัวร้อยละ 1.3 ในไตรมาสที่ 3/2552
ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จีดีพีในไตรมาสที่ 4/2552 อาจขยายตัวร้อยละ 4.5% จากที่หดตัวร้อยละ 2.8 ในไตรมาสก่อน โดยเป็นการพลิกกลับมาขยายตัวเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส
แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2553 อาจขยายตัว 3-4%
ปัจจัยที่เกื้อหนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะที่ผ่านมาน่าจะยังคงมีแรงส่งอย่างต่อเนื่องให้เศรษฐกิจไทยในปี 2553 สามารถพลิกฟื้นกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้ อีกทั้งปัจจัยหลายด้านมีทิศทางที่ดีกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้
ทำให้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับเพิ่มประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2553 ขึ้นมาเป็นร้อยละ 3.0-4.0 จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 2.5-3.5 โดยปัจจัยสนับสนุนหลัก ได้แก่
เศรษฐกิจของหลายประเทศมีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้สูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ซึ่งล่าสุด หน่วยงานด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศชั้นนำ ไม่ว่ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF (International Monetary Fund) ธนาคารโลก และสถาบันชั้นนำของเอกชน ก็ได้ปรับเพิ่มประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจของหลายประเทศ
โดย IMF ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2553 ขึ้นมาเป็นร้อยละ 3.9 (ณ วันที่ 26 มกราคม 2553) จากประมาณการเมื่อเดือนตุลาคม 2552 อยู่ที่ร้อยละ 3.1
ขณะที่ธนาคารโลกปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกขึ้นมาเป็นร้อยละ 2.7 (ณ วันที่ 21 มกราคม 2553) จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 2.0
รัฐบาลดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง นอกจากนี้ การจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่สูงกว่าประมาณการ ทำให้รัฐบาลประเมินว่าการจัดเก็บรายได้ในปีงบประมาณ 2553 อาจจะสูงขึ้นเป็น 1.52 ล้านล้านบาท สูงขึ้นประมาณ 1.7 แสนล้านบาท
จากกรอบรายรับตามงบประมาณที่ตั้งไว้ที่ 1.35 ล้านล้านบาท ซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลมีความยืดหยุ่นและมีทางเลือกในการดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจในอนาคตได้มากขึ้น
อุปทานพืชผลทางการเกษตรทั่วโลกที่ลดลงจะหนุนให้ราคาสินค้าเกษตรพุ่งสูงขึ้น โดยผลผลิตการเกษตรหลักของโลกหลายชนิดได้รับความเสียหายจากสภาพอากาศที่แปรปรวนจากภาวะโลกร้อน ประกอบกับความต้องการในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเศรษฐกิจ
ทำให้พืชผลทางการเกษตรสำคัญของไทยส่วนใหญ่มีแนวโน้มราคาอยู่ในเกณฑ์ดี เช่น ข้าว ยางพารา และมันสำปะหลัง
ปัจจัยดังกล่าวน่าจะเป็นแรงผลักดันสำคัญต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าหลักของไทยจะช่วยกระตุ้นการส่งออก การท่องเที่ยว ซึ่งจะส่งผลดีต่อการผลิตและการจ้างงาน
ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรที่ดีขึ้นจะเพิ่มรายได้ให้แก่ครัวเรือนภาคเกษตร ผลดังกล่าวเมื่อบวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศของรัฐบาล จะนำไปสู่การขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจภายในประเทศ ในส่วนของการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชน ให้ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นตามมา
สำหรับประเด็นความเสี่ยงที่อาจฉุดรั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2553 นี้ ปัจจัยที่มีน้ำหนักสำคัญที่สุดในขณะนี้อยู่ที่ปัจจัยภายในประเทศของไทยเอง
โดยอันดับแรกคือ ความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองและเสถียรภาพของรัฐบาล รองลงมาคือข้อห่วงใยเกี่ยวกับความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาโครงการลงทุนในมาบตาพุด
ทั้งสองปัจจัยนี้ล้วนส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งหากสถานการณ์ยังคงดำเนินเช่นนี้ต่อไป อาจจะส่งผลเสียในระยะยาวต่อแนวโน้มการลงทุนในประเทศไทย ขณะเดียวกัน อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอาจเป็นข้อจำกัดต่อการขยายตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค
ด้านเศรษฐกิจต่างประเทศ แม้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2553 มีแนวโน้มแข็งแกร่งกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ แต่เศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาคก็ยังมีความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป
โดยประเด็นที่เป็นที่จับตาในขณะนี้ คือ มาตรการของทางการจีนที่ออกมาเป็นลำดับตั้งแต่กลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่มุ่งชะลอการปล่อยสินเชื่อของภาคธนาคาร เพื่อลดความเสี่ยงของภาวะเงินเฟ้อและภาวะฟองสบู่
โดยมาตรการดังกล่าวอาจลดทอนอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในปี 2553 จากระดับที่ IMF คาดว่าจะเติบโตได้กว่าร้อยละ 10 ซึ่งจะมีผลต่อการส่งออกของประเทศในแถบเอเชียที่หลายประเทศมีการพึ่งพาตลาดจีนสูงขึ้นในปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้มาตรการของทางการจีนอาจชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจลง แต่จีนน่าจะยังคงเติบโตได้ในระดับสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในโลก
โดยรัฐบาลจีนตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2553 ไว้ที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 8.0 สำหรับภูมิภาคยุโรปยังมีความกังวลต่อปัญหาหนี้ที่อยู่ระดับสูงในบางประเทศ เช่น กรีซและสเปน
ขณะที่อัตราการว่างงานของกลุ่มยูโรโซนโดยรวมยังมีแนวโน้มสูงขึ้น เช่นเดียวกับสหรัฐฯ ที่ปัญหาการว่างงานซึ่งอาจลดลงอย่างเชื่องช้านั้น จะเป็นข้อจำกัดต่อศักยภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ