"การคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีนอาจจำกัดแนวโน้มขาขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ในระดับหนึ่ง แม้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะยังคงดำเนินต่อไปในระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า"
สัญญาณเชิงคุมเข้มนโยบายการเงินจากธนาคารกลางจีนทยอยปรากฎชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากที่ธนาคารกลางจีนตัดสินใจประกาศปรับขึ้นสัดส่วนเพดานการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ในร้อยละ 0.5 โดยให้มีผลบังคับใช้ไปเมื่อวันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2553 ที่ผ่านมา ซึ่งการออกมาตรการคุมเข้มนโยบายครั้งนี้จะมีผลดีหรือผลเสียต่อภาพรวมเศรษฐกิจทั้งจีน เเละเศรษฐกิจโลกจะเป็นเช่นไร วันนี้เรามีบทวิเคราะห์จาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มาให้คำตอบกัน
การสัญญาณคุมเข้มทางการเงินของธนาคารกลางจีน ทั้งการปรับขึ้นสัดส่วนการกันสำรองของธนาคารพาณิชย์ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตั๋วเงินคลัง และการดูดซับสภาพคล่องในตลาดเงินที่เกิดขึ้นในช่วง 2 สัปดาห์แรกของปี 2553 จะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่นักวิเคราะห์ทั่วไปคาดการณ์ไว้เล็กน้อย
แต่อย่างไรก็ตาม การเริ่มดำเนินการคุมเข้มทางการเงินของ ธนาคารกลางจีนดังกล่าวมีความสมเหตุสมผล เนื่องจากความเสี่ยงต่อการขยายตัวอย่างร้อนแรงของเศรษฐกิจจีนยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากข้อมูลล่าสุด (จากหนังสือพิมพ์อิโคโนมิค อินฟอร์เมชั่น เดลี) ที่ระบุว่า ธนาคารพาณิชย์จีนมีการเร่งปล่อยสินเชื่อใหม่สูงถึง 6.0 แสนล้านหยวนในช่วงสัปดาห์แรกของปี 2553 ซึ่งเป็นระดับการขยายสินเชื่อที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของการปล่อยสินเชื่อต่อเดือนประมาณ 3.7 แสนล้านหยวนต่อเดือนในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ กระแสการคาดการณ์การแข็งค่าของเงินหยวนที่เพิ่มมากขึ้นนับตั้งแต่ต้นปี 2553 ซึ่งนำไปสู่การไหลทะลักของเงินทุนจากต่างประเทศ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทางการจีนต้องเผชิญกับโจทย์การดูแลสภาพคล่องที่ยากมากขึ้นไปอีก
จากการที่ทางการจีนสามารถรักษาจุดยืนเชิงนโยบายไว้ได้เป็นอย่างดีในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประคับประคองเศรษฐกิจให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากภาวะการถดถอยของเศรษฐกิจโลก ทำให้การดำเนินการด้านนโยบายเศรษฐกิจของทางการจีนได้รับการยอมรับ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ ซึ่งการเริ่มส่งสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีนในระยะนี้และอาจมีความต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ก็น่าจะส่งผลจิตวิทยาในเชิงบวกได้ เนื่องจากการดำเนินการอย่างรวดเร็วนั้น จะสามารถสกัดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจและจำกัดความเสี่ยงฟองสบู่ พร้อมๆ กับช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และลดโอกาสการเกิดภาวะการชะลอตัวอย่างรุนแรงลง
ทั้งนี้ มีการประเมินว่า การปรับสัดส่วนการดำรงเงินสำรองตามกฎหมายเพียงร้อยละ 0.5 นั้น สามารถดูดซับเม็ดเงินได้เพียงครึ่งเดียวของยอดสินเชื่อปล่อยใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์แรกของปี 2553 ขณะที่ ธนาคารพาณิชย์จีนมีการดำรงเงินสำรองส่วนเกินไว้ในระดับที่สูงกว่าสัดส่วนการกันสำรองตามกฎหมายอยู่แล้ว นั่นหมายความว่า ผลสุทธิของการส่งสัญญาณคุมเข้มทางการเงินของธนาคารกลางจีนน่าที่จะเป็นเพียงการลดการผ่อนคลายทางการเงินลงเท่านั้น
ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่แรงส่งต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนค่อนข้างมีความแข็งแกร่ง (Economic Momentum) ขณะที่ ความเสี่ยงต่อภาวะฟองสบู่ราคาสินทรัพย์ ตลอดจนแรงกดดันเงินเฟ้อ จะยังคงเป็นโจทย์ท้าทายของธนาคารกลางจีนในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ทำให้ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า …
โดยธนาคารกลางจีนยังคงจำเป็นต้องคุมเข้มนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่องต่อไป แต่จะมีลักษณะการดำเนินการที่ระมัดระวัง และค่อยเป็นค่อยไป โดยช่องทาง/เครื่องมือที่ธนาคารกลางจีนอาจนำมาใช้ส่งสัญญาณคุมเข้มทางการเงิน ประกอบด้วย การปรับขึ้นสัดส่วนการดำรงเงินสำรองตามกฎหมายต่อเนื่อง การตรวจสอบ/จำกัดการขยายตัวของสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ การเข้าดูดซับสภาพคล่องผ่านตลาดเงิน ตลอดจนการส่งสัญญาณดอกเบี้ยขาขึ้นผ่านการประมูลตั๋วเงินคลังและพันธบัตร
แม้ว่าธนาคารกลางจีนจะใช้ช่องทางการประมูลตั๋วเงินคลังและพันธบัตรในการส่งสัญญาณคุมเข้มทางการเงิน (ด้วยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสำหรับตราสารทั้ง 2 ประเภท) แต่สำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์นั้น คาดว่า ธนาคารกลางจีนจะนำมาใช้เป็นลำดับท้ายๆ เนื่องจากการปรับอัตราดอกเบี้ยอาจส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง
อย่างไรก็ตามมีความความเป็นไปได้ที่เงินหยวนจะขยับแข็งค่าขึ้นในทิศทางที่สอดคล้องการแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินเชิงคุมเข้มของธนาคารกลางจีน ทั้งนี้ คาดว่า ทางการจีนไม่น่าที่จะปิดโอกาสของการขยายกรอบการเคลื่อนไหวรายวันของค่าเงินหยวน แต่ในขณะเดียวกันทางการจีนก็คงดำเนินการอย่างระมัดระวัง เพื่อมิให้กระแสการคาดการณ์ต่อทิศทางการแข็งค่าของเงินหยวนเป็นไปอย่างรุนแรง และเพื่อให้เหมาะสมกับภาคการส่งออกของจีนที่ยังคงต้องการระยะเวลาในการปรับตัว/ประคองตัวก่อนสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะมีความมั่นคงมากขึ้น
ทั้งนี้การคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีนอาจจำกัดแนวโน้มขาขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ในระดับหนึ่ง แม้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะยังคงดำเนินต่อไปในระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า แต่คาดว่า ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ สกุลเงินของประเทศผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ ตลอดจนตลาดหุ้นในหลายๆ ภูมิภาคของโลก น่าที่จะมีความอ่อนไหว และอาจต้องเผชิญกับการปรับฐานท่ามกลางข่าวการคุมเข้มนโยบายการ เงินของจีนเป็นระยะๆ โดยการปรับฐานของสินทรัพย์ดังกล่าวข้างต้น อาจมีความรุนแรงมากขึ้นหากภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน กดดันให้ธนาคารกลางจีนจำต้องเลือกเครื่องมือด้านอัตราดอกเบี้ยมาใช้ในการคุมเข้มนโยบายการเงิน
ส่วนแนวโน้มเงินบาทยังคงเป็นทิศทางแข็งค่า พร้อมความผันผวน ทั้งนี้ คาดว่า เงินบาทยังคงมีโอกาสแข็งค่าขึ้นทดสอบระดับ 32.70 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทอาจจะอยู่ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 โดยได้รับแรงหนุนที่สำคัญจากกระแสความแข็งแกร่งของสกุลเงินในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งธนาคารกลางหลายๆ แห่งในเอเชียน่าที่จะทยอยส่งสัญญาณคุมเข้มนโยบายการเงินเช่นเดียวกับธนาคารกลางจีนในช่วงเวลาดังกล่าว
จากนี้ไป คงจะต้องติดตามพัฒนาการของข้อมูลทางเศรษฐกิจ และสัญญาณการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางจีนอย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้ แม้ธนาคารกลางจีนจะดำเนินการคุมเข้มทางการเงินเพื่อชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจและลดแรงกดดันเงินเฟ้อ ควบคู่ไปกับมาตรการสกัดภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า จีนจะยังคงมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2553 สูงกว่าร้อยละ 9.0 ซึ่งดีขึ้นเมื่อเทียบกับที่คาดว่าจะขยายตัวในอัตราร้อยละ 8.5 ในปี 2552