"บลจ.ทหารไทย" ชี้ กนง.คงดอกเบี้ยได้ไม่นาน เพราะต้องคำนึงถึงดอกเบี้ยของผู้ฝากเงินที่มีจำนวนมาก เผยผลตอบแทนตราสารหนี้เริ่มขยับขึ้นหลังคงอัตราดอกเบี้ย ผู้บริหาร เชื่อน่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีนี้
นายธีระศันส์ ทุติยะโพธิ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) ได้มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.25% เมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น ถือเป็นไปตามที่ได้คาดการณ์กันเอาไว้ แต่ในระยะต่อจากนี้มองว่า ทางแบงก์ชาติน่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงประมาณครึ่งปีนี้ เนื่องจากในประเทศไทยมีสัดส่วนของเงินฝากอยู่เป็นจำนวนมากกว่าการลงทุน ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้แบงก์ชาติจะต้องมองมาที่ผลประโยชน์ของผู้ฝากเงินเป็นหลัก แม้ว่าในเรื่องของสภาพคล่องในขณะนี้ทางแบงก์ชาติจะยังไม่จำเป็นจะต้องปรับขึ้นก็ตาม
ทั้งนี้ หากทางแบงก์ชาติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นคงจะปรับขึ้นเพียง 0.25% เท่านั้น ซึ่งคงไม่ปรับขึ้นมากนัก แต่ช่วงระยะในการปรับขึ้นนั้นยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะปรับขึ้นในช่วงใดบ้าง
"หากแบงก์ชาติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากจะส่งผลดีต่อผู้ฝากเงินแล้ว ยังมีผลต่อความมั่นใจต่อการเติบโตของเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยหลัก" ผู้จัดการกองทุนอาวุโส กล่าว
ส่วนในด้านของกองทุนตราสารหนี้นั้น นายธีระศันส์ กล่าวว่า หลังจากที่กนง.คงอัตราดอกเบี้ยไว้นั้น ส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนตราสารหนี้เริ่มปรับตัวสูงขึ้น เพราะมีแนวโน้มว่าการคงอัตราดอกเบี้ยนั้นไม่น่าจะอยู่ในระดับนี้ได้นาน ส่งผลให้ความน่าสนใจในกองทุนตราสารหนี้เริ่มปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ ทิศทางของเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น ยังส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นด้วยเช่นกัน โดยมองว่ากองทุนหุ้นยังคงมีความน่าสนใจอยู่
"หากอัตราดอกเบี้ยมีการปรับขึ้นไม่น่าจะกระเทือนถึงบริษัทในตลาดหลักทรัพย์มากนัก เนื่องจากส่วนใหญ่ยังมีสภาพคล่องอยู่มาก และสัดส่วนการกู้ก็ไม่ได้สูงมากแต่อย่างใด" นายธีระศันส์ กล่าว
นายธีระศันส์ ทุติยะโพธิ ผู้จัดการกองทุนอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ทหารไทย จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (กนง.) ได้มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.25% เมื่อวันพุธที่ผ่านมานั้น ถือเป็นไปตามที่ได้คาดการณ์กันเอาไว้ แต่ในระยะต่อจากนี้มองว่า ทางแบงก์ชาติน่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงประมาณครึ่งปีนี้ เนื่องจากในประเทศไทยมีสัดส่วนของเงินฝากอยู่เป็นจำนวนมากกว่าการลงทุน ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้แบงก์ชาติจะต้องมองมาที่ผลประโยชน์ของผู้ฝากเงินเป็นหลัก แม้ว่าในเรื่องของสภาพคล่องในขณะนี้ทางแบงก์ชาติจะยังไม่จำเป็นจะต้องปรับขึ้นก็ตาม
ทั้งนี้ หากทางแบงก์ชาติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นคงจะปรับขึ้นเพียง 0.25% เท่านั้น ซึ่งคงไม่ปรับขึ้นมากนัก แต่ช่วงระยะในการปรับขึ้นนั้นยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะปรับขึ้นในช่วงใดบ้าง
"หากแบงก์ชาติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากจะส่งผลดีต่อผู้ฝากเงินแล้ว ยังมีผลต่อความมั่นใจต่อการเติบโตของเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยหลัก" ผู้จัดการกองทุนอาวุโส กล่าว
ส่วนในด้านของกองทุนตราสารหนี้นั้น นายธีระศันส์ กล่าวว่า หลังจากที่กนง.คงอัตราดอกเบี้ยไว้นั้น ส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนตราสารหนี้เริ่มปรับตัวสูงขึ้น เพราะมีแนวโน้มว่าการคงอัตราดอกเบี้ยนั้นไม่น่าจะอยู่ในระดับนี้ได้นาน ส่งผลให้ความน่าสนใจในกองทุนตราสารหนี้เริ่มปรับเพิ่มขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ ทิศทางของเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น ยังส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นด้วยเช่นกัน โดยมองว่ากองทุนหุ้นยังคงมีความน่าสนใจอยู่
"หากอัตราดอกเบี้ยมีการปรับขึ้นไม่น่าจะกระเทือนถึงบริษัทในตลาดหลักทรัพย์มากนัก เนื่องจากส่วนใหญ่ยังมีสภาพคล่องอยู่มาก และสัดส่วนการกู้ก็ไม่ได้สูงมากแต่อย่างใด" นายธีระศันส์ กล่าว