บลจ.วรรณ คาดปีหน้า เอยูเอ็มลดฮวบกว่า 6,000 ล้านบาท เหตุกองทุนเก่าทยอยครบอายุโครงการ ทั้งกองทุนอสังหาประเภท 2,3,4 และกองทุนรวมเอสเอ็มอี ระบุเตรียมวางแผนรองรับแล้ว จ่อคิวระดมทุนเพิ่ม 2,000 ล้านบาท จากกองทุนรวมประเภททาร์เก็ตฟันด์ และกองอสังหาริมทรัพย์กอง 1 ย้ำแผนบริหาร เน้นผลตอบแทนดีมากกว่าเอยูเอ็มโต
นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนสุดท้ายของปีนี้ นักลงทุนจะเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(อาร์เอ็มเอฟ) เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี โดยบริษัทคาดว่าจากเม็ดเงินดังกล่าวจะส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท(เอยูเอ็ม)ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่คงไม่มากนัก ขณะเดียวกันบริษัทไม่ได้มีการวางเป้าสำหรับเม็ดเงินดังกล่าวว่าจะเพิ่มขึ้นมากน้อยเท่าใด
ทั้งนี้ สำหรับเอยูเอ็มของบริษัทในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 74,000 ล้านบาท โดยคาดว่าในปีหน้านี้เม็ดเงินจะหายไปจากบริษัทประมาณ 6,000 ล้านบาท เหลือเพียง 68,000 ล้านบาท จากการครบกำหนดของกองทุนรวมที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท
นายมนรัฐกล่าวว่า สำหรับมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารของบลจ.วรรณ ที่จะมีการปรับตัวลดลงนั้น มาจากการครบกำหนดของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภท 2,3,4 ที่จะครบกำหนดอายุโครงการในปีหน้านี้ ซึ่งกองทุนดังกล่าวได้จัดตั้งขึ้นมาเมื่อช่วง พ.ศ. 2540 ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ จากนักลงทุนต่างชาติที่มองถึงโอกาสและเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยในแต่ละปีนั้นพบว่าขนาดของกองทุนได้ปรับตัวลดลงทุกๆปี ทำให้เอยูเอ็มปรับตัวลดลงแต่ไม่มากนัก ขณะเดียวกันกองทุนรวมเพื่อร่วมลงทุนในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทและมีอายุโครงการ 10 ปี จะครบกำหนดอายุโครงการในปีนี้ และทางภาครัฐไม่ได้ต่อสัญญากับกองทุนดังกล่าว จากจุดนี้จะทำให้เม็ดเงินหายไปประมาณ 1,000 ล้านบาท จากเงินทุนของรัฐบาล
ขณะเดียวกัน จากการที่กองทุนที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทครบอายุโครงการ ส่งผลให้เอยูเอ็มปรับตัวลดลงไปด้วย ทำให้ในปีหน้า บริษัทมีแผนที่จะจัดตั้งกองทุนสำหรับแผนการทำงานในปี 2553 นี้ เพื่อรองรับเม็ดเงินดังกล่าวโดยการเลือกสรรผลิตภัณฑ์ใหม่ๆมาให้นักลงทุนได้เลือกลงทุน พร้อมวางระดมทุนเพิ่มอีก 2,000 ล้านบาท จากกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีมูลค่าโครงการอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ที่เน้นลงทุนในสินทรัพย์จำพวกโรงเเรม และกองทุนรวมที่เป็นทาร์เก็ตฟันด์เน้นลงทุนในตลาดหุ้นที่มีการวางเป้าผลตอบแทนที่แน่นอน นอกจากกองทุนใหม่ที่เราจะมีการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อระดมทุนในปีหน้าแล้ว เราจะยังคงเน้นในเรื่องของการทำผลการดำเนินงานที่เราดูแลให้มีผลการดำเนินงานที่ดี บริหารให้มีกำไรเพิ่มขึ้น
"ในการบริหารของเรานั้น เราจะไม่เน้นที่เอยูเอ็ม แต่เราจะเน้นผลการดำเนินงานของกองทุนมากกว่า เพราะเราสามารถที่จะบริหารกองทุนที่อยู่ภายใต้การดูแลของเราให้มีผลการดำเนินงานที่ดีได้ นักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นก็จะเข้ามาลงทุนกับกองทุนของเราเอง โดยหลังจากนี้ เราจะให้ความสำคัญต่อผลการดำเนินงานมากกว่าเอยูเอ็มรวม"มนรัฐกล่าว
นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) วรรณ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงเดือนสุดท้ายของปีนี้ นักลงทุนจะเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(อาร์เอ็มเอฟ) เพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี โดยบริษัทคาดว่าจากเม็ดเงินดังกล่าวจะส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท(เอยูเอ็ม)ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่คงไม่มากนัก ขณะเดียวกันบริษัทไม่ได้มีการวางเป้าสำหรับเม็ดเงินดังกล่าวว่าจะเพิ่มขึ้นมากน้อยเท่าใด
ทั้งนี้ สำหรับเอยูเอ็มของบริษัทในขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 74,000 ล้านบาท โดยคาดว่าในปีหน้านี้เม็ดเงินจะหายไปจากบริษัทประมาณ 6,000 ล้านบาท เหลือเพียง 68,000 ล้านบาท จากการครบกำหนดของกองทุนรวมที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัท
นายมนรัฐกล่าวว่า สำหรับมูลค่าทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหารของบลจ.วรรณ ที่จะมีการปรับตัวลดลงนั้น มาจากการครบกำหนดของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภท 2,3,4 ที่จะครบกำหนดอายุโครงการในปีหน้านี้ ซึ่งกองทุนดังกล่าวได้จัดตั้งขึ้นมาเมื่อช่วง พ.ศ. 2540 ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ จากนักลงทุนต่างชาติที่มองถึงโอกาสและเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี โดยในแต่ละปีนั้นพบว่าขนาดของกองทุนได้ปรับตัวลดลงทุกๆปี ทำให้เอยูเอ็มปรับตัวลดลงแต่ไม่มากนัก ขณะเดียวกันกองทุนรวมเพื่อร่วมลงทุนในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทและมีอายุโครงการ 10 ปี จะครบกำหนดอายุโครงการในปีนี้ และทางภาครัฐไม่ได้ต่อสัญญากับกองทุนดังกล่าว จากจุดนี้จะทำให้เม็ดเงินหายไปประมาณ 1,000 ล้านบาท จากเงินทุนของรัฐบาล
ขณะเดียวกัน จากการที่กองทุนที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทครบอายุโครงการ ส่งผลให้เอยูเอ็มปรับตัวลดลงไปด้วย ทำให้ในปีหน้า บริษัทมีแผนที่จะจัดตั้งกองทุนสำหรับแผนการทำงานในปี 2553 นี้ เพื่อรองรับเม็ดเงินดังกล่าวโดยการเลือกสรรผลิตภัณฑ์ใหม่ๆมาให้นักลงทุนได้เลือกลงทุน พร้อมวางระดมทุนเพิ่มอีก 2,000 ล้านบาท จากกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีมูลค่าโครงการอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ที่เน้นลงทุนในสินทรัพย์จำพวกโรงเเรม และกองทุนรวมที่เป็นทาร์เก็ตฟันด์เน้นลงทุนในตลาดหุ้นที่มีการวางเป้าผลตอบแทนที่แน่นอน นอกจากกองทุนใหม่ที่เราจะมีการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อระดมทุนในปีหน้าแล้ว เราจะยังคงเน้นในเรื่องของการทำผลการดำเนินงานที่เราดูแลให้มีผลการดำเนินงานที่ดี บริหารให้มีกำไรเพิ่มขึ้น
"ในการบริหารของเรานั้น เราจะไม่เน้นที่เอยูเอ็ม แต่เราจะเน้นผลการดำเนินงานของกองทุนมากกว่า เพราะเราสามารถที่จะบริหารกองทุนที่อยู่ภายใต้การดูแลของเราให้มีผลการดำเนินงานที่ดีได้ นักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นก็จะเข้ามาลงทุนกับกองทุนของเราเอง โดยหลังจากนี้ เราจะให้ความสำคัญต่อผลการดำเนินงานมากกว่าเอยูเอ็มรวม"มนรัฐกล่าว