เหลือระยะเวลาอีกเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ก็จะย่างเข้าสู่ปีใหม่กันแล้ว (2553) แต่ภาวะตลาดหุ้นในประเทศในขณะนี้ ค่อนข้างที่จะคาดการณ์ได้ยากมาก เนื่อจากว่าตลาดหุ้นนั้นมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา โดยก่อนหน้านี้ ดัชนีหุ้นไทยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นไปยืนเหนือ 750 จุดได้ อย่างเหนือความคาดหมาย ก่อนจะพบเจอกับกระแสข่าวตลอดจนปัจจัยลบทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ตลาดหุ้นไทยนั้นปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา( 2-6 พ.ย.)ดัชนีได้ปรับตัวอยู่ในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ และไม่สามาถฝ่าทะยานขึ้นไปเหนือ 700 จุดได้แม้จะมีตลาดหุ้นเพื่อนบ้านหนุนก็ตาม โดยตลาดหุ้นวันสุดท้ายของสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าดัชนีปิดตัวที่ระดับ 698.63 จุด เปลี่ยนแปลง +16.72 จุด(+2.45%)และมีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 18,474.84 จุด และสำหรับดัชนีในสัปดาห์นี้จะเป็นอย่างไรนั้น ผู้จัดการกองทุนผู้มากความสามารถจะนำข้อมูลและแนวโน้มต่างๆมาให้แก่นักลงทุนได้ใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน..
พนุกร จันทรประภาพ ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นระยะสั้นนั้น ยังไม่น่ามีความไว้วางใจมากนัก เนื่องจากว่าตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่ ยังไม่ค่อยมีปัจจัยบวกที่จะเข้ามาหนุนให้ตลาดหุ้นปรับ ขณะเดียวกัน สำหรับตลาดหุ้นไทยในขณะนี้นอกจากจะไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามาหนุ้นตลาดแล้วนั้น ตลาดหุ้นยังมีแต่ปัจจัยลบที่ส่งผลตอบดัชนีตลาดหุ้น โดยตลาดหุ้นที่รีบาวด์ได้ในขณะนี้เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของตลาดหุ้นอเมริกานั้น น่าจะมีความผันผวนบ้างจากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ โดยหากสัปดาห์ไหนที่ตัวเลขออกมาดีจะส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้น ขณะเดียวกัน หากตัวเลขที่ประกาศออกมาแย่ จะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง ซึ่งดัชนีของไทยขณะนี้ส่วนใหญ่อิงกับตลาดต่างประเทศเป็นหลัก
นายพนุกร บอกอีกว่า การมองตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นในขณะนี้นั้น ค่อนข้างที่จะมองได้ยากลำบากมาก เพราะต้องจับตาดูปัจจัย เหตุการณ์ ข่าวสารต่างๆที่กำลังจะเกิดขึ้น และการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทต่างๆรวมไปถึง ตัวเลขอัตราการว่างงาน ว่าจะมีทิศทางหรือแนวโน้มเป็นอย่างไร หากตัวเลขการว่างงานของสหรัฐนั้น ออกมาสูงกว่า 9.9% อาจจะส่งผลให้สัปดาห์นี้ ดัชนีมีการติดลบได้
"โดยส่วนตัวมองว่า จากความผันผวนและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ในช่วงนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังชะลอการลงทุน ซึ่งจากจุดนี้หากสังเกตุดีๆจะเห็นได้ว่า วอลุ่มการซื้อขายนั้นเบาบางลง เหลือเพียงประมาณ 15,000 ล้านบาทต่อวัน จากก่อนหน้านี้ที่มีปริมาณการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ 20,000-30,000 ล้านบาทต่อวัน โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้เข้ามาลงทุนเนื่องจากว่าต่างรอความชัดเจนในเรื่องของปัจจัยลบต่างๆที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น หรือหุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น การตัดสินของศาลในกรณีของมาบตาพุฒ ซึ่งเราไม่สามารถคาดการณ์ผลตอบรับได้ว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร รวมไปถึง ปตท.สผ.ที่เรายังไม่รู้ว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ได้ส่งความเสียหายมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งเรื่องมลพิษทางทะเลที่เกิดขึ้นส่งผลมากน้อยเพียงใด ซึ่งจากประเด็นเหล่านี้ ส่งผลให้นักลงทุนยังไม่มีความมั่นใจต่อตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม สัปดาห์นี้ อยากแนะนำนักลงทุนให้จับตามองตลาดหุ้นต่างประเทศและกรณีมาบตาพุตเป็นหลัก"นายพนุกร กล่าว
โดยสัปดาห์นี้ คาดว่าตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนอยู่ที่ระดับ 670-700 จุด โดยหากดัชนีสามารถปรับตัวยืนเหนือ 700 จุดได้ นั่นหมายถึงว่าตลาดหุ้นไทยจะต้องมีปัจจัยบวกที่ดีจริงเข้ามาช่วยดันดัชนีเช่น คำสั่งของศาลกรณีมาบตาพุดเป็นบวก รวมไปถึงตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาเป็นบวกเหนือความคาดหมายที่ได้คาดการณ์กันไว้
ทั้งนี้ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา( 2-6 พ.ย.)ดัชนีได้ปรับตัวอยู่ในแดนลบเป็นส่วนใหญ่ และไม่สามาถฝ่าทะยานขึ้นไปเหนือ 700 จุดได้แม้จะมีตลาดหุ้นเพื่อนบ้านหนุนก็ตาม โดยตลาดหุ้นวันสุดท้ายของสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าดัชนีปิดตัวที่ระดับ 698.63 จุด เปลี่ยนแปลง +16.72 จุด(+2.45%)และมีมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 18,474.84 จุด และสำหรับดัชนีในสัปดาห์นี้จะเป็นอย่างไรนั้น ผู้จัดการกองทุนผู้มากความสามารถจะนำข้อมูลและแนวโน้มต่างๆมาให้แก่นักลงทุนได้ใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน..
พนุกร จันทรประภาพ ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แมนูไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด บอกว่า สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นระยะสั้นนั้น ยังไม่น่ามีความไว้วางใจมากนัก เนื่องจากว่าตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่ ยังไม่ค่อยมีปัจจัยบวกที่จะเข้ามาหนุนให้ตลาดหุ้นปรับ ขณะเดียวกัน สำหรับตลาดหุ้นไทยในขณะนี้นอกจากจะไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามาหนุ้นตลาดแล้วนั้น ตลาดหุ้นยังมีแต่ปัจจัยลบที่ส่งผลตอบดัชนีตลาดหุ้น โดยตลาดหุ้นที่รีบาวด์ได้ในขณะนี้เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามตลาดต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของตลาดหุ้นอเมริกานั้น น่าจะมีความผันผวนบ้างจากการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจ โดยหากสัปดาห์ไหนที่ตัวเลขออกมาดีจะส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้น ขณะเดียวกัน หากตัวเลขที่ประกาศออกมาแย่ จะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง ซึ่งดัชนีของไทยขณะนี้ส่วนใหญ่อิงกับตลาดต่างประเทศเป็นหลัก
นายพนุกร บอกอีกว่า การมองตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นในขณะนี้นั้น ค่อนข้างที่จะมองได้ยากลำบากมาก เพราะต้องจับตาดูปัจจัย เหตุการณ์ ข่าวสารต่างๆที่กำลังจะเกิดขึ้น และการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาที่ทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทต่างๆรวมไปถึง ตัวเลขอัตราการว่างงาน ว่าจะมีทิศทางหรือแนวโน้มเป็นอย่างไร หากตัวเลขการว่างงานของสหรัฐนั้น ออกมาสูงกว่า 9.9% อาจจะส่งผลให้สัปดาห์นี้ ดัชนีมีการติดลบได้
"โดยส่วนตัวมองว่า จากความผันผวนและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ในช่วงนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่ยังชะลอการลงทุน ซึ่งจากจุดนี้หากสังเกตุดีๆจะเห็นได้ว่า วอลุ่มการซื้อขายนั้นเบาบางลง เหลือเพียงประมาณ 15,000 ล้านบาทต่อวัน จากก่อนหน้านี้ที่มีปริมาณการซื้อขายต่อวันอยู่ที่ 20,000-30,000 ล้านบาทต่อวัน โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ยังไม่ได้เข้ามาลงทุนเนื่องจากว่าต่างรอความชัดเจนในเรื่องของปัจจัยลบต่างๆที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น หรือหุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น การตัดสินของศาลในกรณีของมาบตาพุฒ ซึ่งเราไม่สามารถคาดการณ์ผลตอบรับได้ว่าจะมีแนวโน้มเป็นอย่างไร รวมไปถึง ปตท.สผ.ที่เรายังไม่รู้ว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ได้ส่งความเสียหายมากน้อยแค่ไหน อีกทั้งเรื่องมลพิษทางทะเลที่เกิดขึ้นส่งผลมากน้อยเพียงใด ซึ่งจากประเด็นเหล่านี้ ส่งผลให้นักลงทุนยังไม่มีความมั่นใจต่อตลาดหุ้นไทย อย่างไรก็ตาม สัปดาห์นี้ อยากแนะนำนักลงทุนให้จับตามองตลาดหุ้นต่างประเทศและกรณีมาบตาพุตเป็นหลัก"นายพนุกร กล่าว
โดยสัปดาห์นี้ คาดว่าตลาดหุ้นไทยยังคงผันผวนอยู่ที่ระดับ 670-700 จุด โดยหากดัชนีสามารถปรับตัวยืนเหนือ 700 จุดได้ นั่นหมายถึงว่าตลาดหุ้นไทยจะต้องมีปัจจัยบวกที่ดีจริงเข้ามาช่วยดันดัชนีเช่น คำสั่งของศาลกรณีมาบตาพุดเป็นบวก รวมไปถึงตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาเป็นบวกเหนือความคาดหมายที่ได้คาดการณ์กันไว้