โยแมน
yeomanwarders-dailymanager@yahoo.com
ส่องกล้องมองหาทางรวย
ฮั่นแน่! อยากรวยกับเขาเหมือนกันใช่ไหมล่ะครับ แน่ล่ะ....ท่านไม่ผิดปกติหรอก ใครๆเขาก็อยากรวยกันทั้งนั้น บางครั้งเราอาจจะนึกอิจฉาคนที่เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่เกิด แต่ ผมเชื่อว่าคนเรานั้นแม้เลือกเกิดมาเป็นหลินปิงไม่ได้ แต่เราก็เลือกเกิดมาเป็นคนขายตุ๊กตาหมีแพนด้า พวงกุญแจแพนด้า ขายหนังแพนด้า ขายทัวร์ชมหลินปิง และ ฯลฯ โดยที่หลินปิงมันไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องการหากินของเราบนชื่อเสียงของมันแต่อย่างใด …แหะๆ......
สำหรับคนอยู่ไปวันๆไม่มีหัวการค้า และขี้เกียจจะคิดหาวิธีรวยให้วุ่นวายเหนื่อยยาก (แต่ก็ยังอยากรวยอยู่ดี!) ซึ่งนอกจากจะปล่อยแชร์ในที่ทำงานแล้ว ก็อาจลองหาวิธีรวยที่ไม่ยากเกินไปนัก ซึ่งผมเองก็คิดเองไม่ได้ ก็เลยขอยืมฝรั่งมาปรับๆเอาให้เป็นไทย ดังนี้ครับ
1) ทางสบาย สบาย นั่นคือ เลือกลงทุนเป็นประจำตามสัดส่วนการลงทุนที่เราได้ปรึกษาผู้รู้ด้านการลงทุนแล้วว่าเหมาะกับเรา อย่างในปัจจุบันท่านจะเริ่มเห็นคนที่เป็น “นักวางแผนทางการเงิน” หรือชื่อเท่ๆว่า CFP ซึ่งย่อมาจาก Certified Financial Planner ซึ่งเพิ่งมีครั้งแรกในประเทศด้วยแรงผลักดันของท่านผู้ใหญ่ทั้งหลายในวงการการเงินและการลงทุน โดยวุฒิบัตรนี้มีครั้งแรกในโลกเมื่อปี 2513 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมอบให้กับผู้พร้อมด้วยประสบการณ์ จรรยาบรรณ และผ่านการทดสอบความรู้ ความสามารถด้านการวางแผนทางการเงิน วางแผนภาษี การประกันชีวิต และการประกันภัยอย่างรอบด้าน เพื่อให้สามารถวางแผนทางการเงินให้กับบุคคลทั่วไปได้ เกริ่นมาซะยาวเหยียด คือ หากท่านได้รับความช่วยเหลือด้านการจัดสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมจากบุคคลเหล่านี้ หรือถ้ายังไม่เจอ ก็อาจปรึกษา “ผู้ติดต่อผู้ลงทุน” ของบริษัทหลักทรัพย์ หรือบริษัทจัดการต่างๆที่ไว้วางใจก็ได้
สมมติว่าเราเน้นลงทุนในพอร์ตลงทุนที่ไม่เก็งกำไรนัก และเน้นกระจายการลงทุนทั้งหุ้น และตราสารหนี้ของบริษัทชั้นนำ คุณภาพดี อย่างละครึ่งๆ โดยอยู่บนข้อสมมติว่าหุ้นน่าจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี (อันนี้ว่ากันตามตำราไปก่อนนะครับ เพราะหุ้นบ้านเราบางปีก็ขึ้นไปเป็นร้อย บางปีก็ลงไปเกือบร้อยเหมือนกัน) ในขณะที่อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 3% ต่อปี
วิธีลองหาว่าเงินลงทุนของเราจะเพิ่มเป็น 2 เท่าซักเมื่อไหร่ ก็สามารถใช้*“กฏแห่งเลข 72” อันนี้ไม่ไช่หาทางรวยโดยให้เลขนะครับ แต่เป็นกฏของฝรั่งที่เรียกว่า Rule of 72 โดยเอา 72 ตั้งแล้วหารด้วยผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่คาดว่าจะได้รับจากพอร์ตลงทุน ซึ่งผลตอบแทนเฉลี่ยจากการลงทุนอย่างละครึ่งในหุ้นและตราสารหนี้เท่ากับเฉลี่ยประมาณ 6.5% ต่อปี เงินลงทุนของเราจะใช้เวลาประมาณ 11 ปีก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าได้ (72 หารด้วย 6.5) และเพิ่มเป็น 4 เท่าใน 22 ปี และ 8 เท่าใน 33 ปี เรียกได้ว่ารวยโลด แบบไม่ต้องเหนื่อยยากทำอะไรเป็นพิเศษ แค่ถอนเงินจากบัญชีเงินเดือนไปลงทุนเป็นประจำตามสัดส่วนเท่านี้ก็พอแล้ว
ซึ่งจากตัวอย่างนี้ ถ้าท่านเก็บเงินเป็นจำนวน 10,000 บาท ตลอด 33 ปี ก็จะกลายเป็น ล้านกว่าบาท ถ้าเก็บปีละแสนก็เท่ากับจะได้เงินถึงกว่า 10 ล้านบาท!!!
2) หน่วยกล้าตาย อันนี้เหมาะกับแรมโบ้ หรือคนเหล็กครับ แต่ต้องมีของนิดนึง ไม่ใช่กล้าตายสุ่มสี่สุ่มห้า ก็อย่างที่กูรูด้านการลงทุนหลายคนได้เคยกล่าวไว้ครับว่า ยามที่น่าสนใจลงทุนที่สุด คือ ยามเมื่อใครๆก็ทอดทิ้ง ไม่สนใจหุ้นที่มีคุณภาพดี มีอนาคตสดใส ซึ่งก็มีด้วยกันหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นอาการบักโกรกของนักลงทุนส่วนใหญ่จากภาวะเศรษฐกิจผันผวนทั่วโลก จนต้องมีเงินสดติดตัวเพื่อเอาตัวให้รอดไว้ก่อน หุ้นจะดีระดับเทวดาขนาดไหนก็ไม่สนใจทั้งนั้น ขอขายกอดเงินสดเอาไว้ก่อนเท่านั้น
ซึ่งคำพูดที่มักนำมากล่าวถึงกันอยู่บ่อยๆ เป็นของบารอน รอธไชลด์ นักธุรกิจธนาคารชาวอังกฤษที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 18 ที่ว่าไว้ว่า “จงซื้อ เมื่อมีเลือดนองท้องถนน และแม้ว่านั่นจะเป็นเลือดของท่านเองก็ตาม” (รู้สึกเหมือนแกลดิเอเตอร์ แหล่มๆยังไงชอบกล)
แต่ที่บอกว่าจะเอาหลักใจกล้าอย่างเดียวก็ไม่พอ เพราะว่าการซื้อในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าท่านจะซื้ออะไรก็ได้ที่มันถูกๆเท่อๆ แต่ต้องเตรียมศึกษาข้อมูลให้ดีพอว่าหุ้นของบริษัทนี้ราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็นจริงๆ ซึ่งก็ต้องใช้หลักสารพัดวิธีในการคัดเลือกหุ้น ไม่ว่าจะเป็น Price to Earnings Ratio และ Book Value ของบริษัท ฯลฯ (ใครอยากรู้วิธี ลองเข้าไปดูบทความเก่าๆในเว็บไซต์ที่ผมได้สัมภาษณ์คุณ อยุทธ์ ชาญเศรษฐิกุล อดีตผู้จัดการกองทุนมือฉมังไว้)
3) ทางด่วน ผมว่าเอาให้เหมาะน่าจะเรียกว่าทางรถไฟฟ้า หรือรถใต้ดินจะเหมาะกว่า เพราะนั่งสบายๆก็ถึงเร็วแบบไม่ทันตั้งตัว แถมไม่ต้องตื่นเต้นขวัญแขวนอีกต่างหาก นั่นก็คือ การลงทุนผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมหุ้นระยะยาวนั่นเองครับ ล้วนเป็นอะไรที่ท่านคุ้นกันอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นอะไรที่พิเศษพิศดารแต่อย่างใด
เรียกได้ว่าเป็นวิธีที่ทำให้ได้เงินเพิ่มขึ้นเร็วที่สุด โดยสำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น คิดง่ายๆว่าทุกๆ 1 บาทที่ลูกจ้างสะสมเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ลูกจ้างจะได้เงินฟรีๆมาอีก 1 บาทจากการสมทบเงินของฝั่งนายจ้าง นอกจากนั้นยังได้ลดหย่อนภาษีจากหลวงท่านกลับมาอีก 10 ถึง 37 สตางค์บนเงินสะสมทุกบาท เรียกได้ว่าเงินลงทุนนั้นทวีค่าเกินกว่า 2 เท่าทันทีในปีแรก โดยยังไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ซึ่งในที่นี้ยังไม่นับรวมผลตอบแทนที่จะได้รับจากการลงทุนต่างหากอีกด้วยครับ
สำหรับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และการทุนรวมหุ้นระยะยาวนั้น แม้จะไม่ได้ทำให้เงินลงทุนเพิ่มเป็น 2 เท่าทันที แต่ก็ช่วยให้มีความได้เปรียบที่จะถึงเส้นชัยได้เร็วขึ้นจากการที่มีแต้มต่อจากการได้รับลดหย่อนภาษีของรัฐบาลสูงสุดถึง 37% ครับ
เลือกทางเดินกันได้ตามสบายเลยนะครับ รวยขึ้นมายังไง ฝากบอกมาบ้างแล้วกัน!
yeomanwarders-dailymanager@yahoo.com
ส่องกล้องมองหาทางรวย
ฮั่นแน่! อยากรวยกับเขาเหมือนกันใช่ไหมล่ะครับ แน่ล่ะ....ท่านไม่ผิดปกติหรอก ใครๆเขาก็อยากรวยกันทั้งนั้น บางครั้งเราอาจจะนึกอิจฉาคนที่เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองมาตั้งแต่เกิด แต่ ผมเชื่อว่าคนเรานั้นแม้เลือกเกิดมาเป็นหลินปิงไม่ได้ แต่เราก็เลือกเกิดมาเป็นคนขายตุ๊กตาหมีแพนด้า พวงกุญแจแพนด้า ขายหนังแพนด้า ขายทัวร์ชมหลินปิง และ ฯลฯ โดยที่หลินปิงมันไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องการหากินของเราบนชื่อเสียงของมันแต่อย่างใด …แหะๆ......
สำหรับคนอยู่ไปวันๆไม่มีหัวการค้า และขี้เกียจจะคิดหาวิธีรวยให้วุ่นวายเหนื่อยยาก (แต่ก็ยังอยากรวยอยู่ดี!) ซึ่งนอกจากจะปล่อยแชร์ในที่ทำงานแล้ว ก็อาจลองหาวิธีรวยที่ไม่ยากเกินไปนัก ซึ่งผมเองก็คิดเองไม่ได้ ก็เลยขอยืมฝรั่งมาปรับๆเอาให้เป็นไทย ดังนี้ครับ
1) ทางสบาย สบาย นั่นคือ เลือกลงทุนเป็นประจำตามสัดส่วนการลงทุนที่เราได้ปรึกษาผู้รู้ด้านการลงทุนแล้วว่าเหมาะกับเรา อย่างในปัจจุบันท่านจะเริ่มเห็นคนที่เป็น “นักวางแผนทางการเงิน” หรือชื่อเท่ๆว่า CFP ซึ่งย่อมาจาก Certified Financial Planner ซึ่งเพิ่งมีครั้งแรกในประเทศด้วยแรงผลักดันของท่านผู้ใหญ่ทั้งหลายในวงการการเงินและการลงทุน โดยวุฒิบัตรนี้มีครั้งแรกในโลกเมื่อปี 2513 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมอบให้กับผู้พร้อมด้วยประสบการณ์ จรรยาบรรณ และผ่านการทดสอบความรู้ ความสามารถด้านการวางแผนทางการเงิน วางแผนภาษี การประกันชีวิต และการประกันภัยอย่างรอบด้าน เพื่อให้สามารถวางแผนทางการเงินให้กับบุคคลทั่วไปได้ เกริ่นมาซะยาวเหยียด คือ หากท่านได้รับความช่วยเหลือด้านการจัดสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมจากบุคคลเหล่านี้ หรือถ้ายังไม่เจอ ก็อาจปรึกษา “ผู้ติดต่อผู้ลงทุน” ของบริษัทหลักทรัพย์ หรือบริษัทจัดการต่างๆที่ไว้วางใจก็ได้
สมมติว่าเราเน้นลงทุนในพอร์ตลงทุนที่ไม่เก็งกำไรนัก และเน้นกระจายการลงทุนทั้งหุ้น และตราสารหนี้ของบริษัทชั้นนำ คุณภาพดี อย่างละครึ่งๆ โดยอยู่บนข้อสมมติว่าหุ้นน่าจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ต่อปี (อันนี้ว่ากันตามตำราไปก่อนนะครับ เพราะหุ้นบ้านเราบางปีก็ขึ้นไปเป็นร้อย บางปีก็ลงไปเกือบร้อยเหมือนกัน) ในขณะที่อัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อยู่ที่เฉลี่ยประมาณ 3% ต่อปี
วิธีลองหาว่าเงินลงทุนของเราจะเพิ่มเป็น 2 เท่าซักเมื่อไหร่ ก็สามารถใช้*“กฏแห่งเลข 72” อันนี้ไม่ไช่หาทางรวยโดยให้เลขนะครับ แต่เป็นกฏของฝรั่งที่เรียกว่า Rule of 72 โดยเอา 72 ตั้งแล้วหารด้วยผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่คาดว่าจะได้รับจากพอร์ตลงทุน ซึ่งผลตอบแทนเฉลี่ยจากการลงทุนอย่างละครึ่งในหุ้นและตราสารหนี้เท่ากับเฉลี่ยประมาณ 6.5% ต่อปี เงินลงทุนของเราจะใช้เวลาประมาณ 11 ปีก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าได้ (72 หารด้วย 6.5) และเพิ่มเป็น 4 เท่าใน 22 ปี และ 8 เท่าใน 33 ปี เรียกได้ว่ารวยโลด แบบไม่ต้องเหนื่อยยากทำอะไรเป็นพิเศษ แค่ถอนเงินจากบัญชีเงินเดือนไปลงทุนเป็นประจำตามสัดส่วนเท่านี้ก็พอแล้ว
ซึ่งจากตัวอย่างนี้ ถ้าท่านเก็บเงินเป็นจำนวน 10,000 บาท ตลอด 33 ปี ก็จะกลายเป็น ล้านกว่าบาท ถ้าเก็บปีละแสนก็เท่ากับจะได้เงินถึงกว่า 10 ล้านบาท!!!
2) หน่วยกล้าตาย อันนี้เหมาะกับแรมโบ้ หรือคนเหล็กครับ แต่ต้องมีของนิดนึง ไม่ใช่กล้าตายสุ่มสี่สุ่มห้า ก็อย่างที่กูรูด้านการลงทุนหลายคนได้เคยกล่าวไว้ครับว่า ยามที่น่าสนใจลงทุนที่สุด คือ ยามเมื่อใครๆก็ทอดทิ้ง ไม่สนใจหุ้นที่มีคุณภาพดี มีอนาคตสดใส ซึ่งก็มีด้วยกันหลายสาเหตุไม่ว่าจะเป็นอาการบักโกรกของนักลงทุนส่วนใหญ่จากภาวะเศรษฐกิจผันผวนทั่วโลก จนต้องมีเงินสดติดตัวเพื่อเอาตัวให้รอดไว้ก่อน หุ้นจะดีระดับเทวดาขนาดไหนก็ไม่สนใจทั้งนั้น ขอขายกอดเงินสดเอาไว้ก่อนเท่านั้น
ซึ่งคำพูดที่มักนำมากล่าวถึงกันอยู่บ่อยๆ เป็นของบารอน รอธไชลด์ นักธุรกิจธนาคารชาวอังกฤษที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในช่วงศตวรรษที่ 18 ที่ว่าไว้ว่า “จงซื้อ เมื่อมีเลือดนองท้องถนน และแม้ว่านั่นจะเป็นเลือดของท่านเองก็ตาม” (รู้สึกเหมือนแกลดิเอเตอร์ แหล่มๆยังไงชอบกล)
แต่ที่บอกว่าจะเอาหลักใจกล้าอย่างเดียวก็ไม่พอ เพราะว่าการซื้อในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่าท่านจะซื้ออะไรก็ได้ที่มันถูกๆเท่อๆ แต่ต้องเตรียมศึกษาข้อมูลให้ดีพอว่าหุ้นของบริษัทนี้ราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็นจริงๆ ซึ่งก็ต้องใช้หลักสารพัดวิธีในการคัดเลือกหุ้น ไม่ว่าจะเป็น Price to Earnings Ratio และ Book Value ของบริษัท ฯลฯ (ใครอยากรู้วิธี ลองเข้าไปดูบทความเก่าๆในเว็บไซต์ที่ผมได้สัมภาษณ์คุณ อยุทธ์ ชาญเศรษฐิกุล อดีตผู้จัดการกองทุนมือฉมังไว้)
3) ทางด่วน ผมว่าเอาให้เหมาะน่าจะเรียกว่าทางรถไฟฟ้า หรือรถใต้ดินจะเหมาะกว่า เพราะนั่งสบายๆก็ถึงเร็วแบบไม่ทันตั้งตัว แถมไม่ต้องตื่นเต้นขวัญแขวนอีกต่างหาก นั่นก็คือ การลงทุนผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และกองทุนรวมหุ้นระยะยาวนั่นเองครับ ล้วนเป็นอะไรที่ท่านคุ้นกันอยู่แล้ว ไม่ได้เป็นอะไรที่พิเศษพิศดารแต่อย่างใด
เรียกได้ว่าเป็นวิธีที่ทำให้ได้เงินเพิ่มขึ้นเร็วที่สุด โดยสำหรับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้น คิดง่ายๆว่าทุกๆ 1 บาทที่ลูกจ้างสะสมเงินเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ลูกจ้างจะได้เงินฟรีๆมาอีก 1 บาทจากการสมทบเงินของฝั่งนายจ้าง นอกจากนั้นยังได้ลดหย่อนภาษีจากหลวงท่านกลับมาอีก 10 ถึง 37 สตางค์บนเงินสะสมทุกบาท เรียกได้ว่าเงินลงทุนนั้นทวีค่าเกินกว่า 2 เท่าทันทีในปีแรก โดยยังไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ ซึ่งในที่นี้ยังไม่นับรวมผลตอบแทนที่จะได้รับจากการลงทุนต่างหากอีกด้วยครับ
สำหรับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ และการทุนรวมหุ้นระยะยาวนั้น แม้จะไม่ได้ทำให้เงินลงทุนเพิ่มเป็น 2 เท่าทันที แต่ก็ช่วยให้มีความได้เปรียบที่จะถึงเส้นชัยได้เร็วขึ้นจากการที่มีแต้มต่อจากการได้รับลดหย่อนภาษีของรัฐบาลสูงสุดถึง 37% ครับ
เลือกทางเดินกันได้ตามสบายเลยนะครับ รวยขึ้นมายังไง ฝากบอกมาบ้างแล้วกัน!