กองทุน "CPNRF" หนีตาม "โชติกา" ผู้ถือหน่วย เห็นชอบให้ บลจ.ไทยพาณิชย์ บริหารกองทุนต่อจากบลจ.ทหารไทย มีผลเรียบร้อยแล้ว พร้อมรับแผนเพิ่มทุนอีก 6,706.00 ล้านบาท โกยสินทรัพย์ไปเนาะๆ รวม 1.7 หมื่นล้าน ฉกแชมป์กองทุนรวมจากมือ บลจ.กสิกรไทย

นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ที่ประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท (CPNRF) เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 52 ได้มีมติอนุมัติให้เปลี่ยนบริษัทจัดการกองทุนรวมเดิมเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBAM) ด้วยมติเอกฉันท์ของผู้ถือหน่วยลงทุนที่เข้าร่วมประชุมร้อยละ 77 โดยได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบราวร้อยละ 72 และงดออกเสียงร้อยละ 5 ซึ่งมีผลทำให้ บลจ. ไทยพาณิชย์ เข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการกองทุนทันทีในวันถัดจากวันที่ผู้ถือหน่วยลงทุนมีมติอนุมัติ และทำให้มูลค่าสินทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ของ บลจ. ไทยพาณิชย์ เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 359,817 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 18 ส.ค. 2552)
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการย้ายเก้าอี้กรรมการผู้จัดการของนางโชติกา สวนานนท์ จากบลจ.ทหารไทย ไปอยู่บลจ.ไทยพาณิชย์นั่นเอง ซึ่งนางโชติกาเองถือว่า เป็นผู้ที่จัดตั้งกองทุนนี้ขึ้นมาตั้งแต่ต้น ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงบริษัทจัดการดังกล่าว ส่งผลให้บลจ.ไทยพาณิชย์ มีสินทรัพย์ในธุรกิจกองทุนรวมขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ทันที หลังจากรับโอนเงินกองทุนมาประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังจะมีเงินเพิ่มจากการเพิ่มทุนของกองทุนดังกล่าวอีกประมาณ 6 พันล้านบาทด้วย
“บลจ.ไทยพาณิชย์ต้องขอขอบคุณผู้ถือหน่วยลงทุน CPNRF ที่ได้ให้ความไว้วางใจให้บริหารจัดการกองทุน และเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ที่มีบริการครบวงจรและเครือข่ายสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศจสามารถะช่วยให้การบริหารกองทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน"นางโชติกากล่าว
สำหรับการเข้ามาบริหารกองทุนในครั้งนี้ นางโชติกากล่าวว่า ในระยะแรกของ บลจ.ไทยพาณิชย์จะดำเนินการตามนโยบายกองทุน และบริหารสินทรัพย์ของกองทุน คือ สิทธิการเช่าช่วงที่ดินและสิทธิการเช่าอาคารบางส่วนและงานระบบของโครงการเซ็นทรัล พลาซา พระราม 2 และพระราม 3 แล้ว ในอนาคตบริษัทฯ มีแผนการที่จะเพิ่มทุนโดยนำไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โครงการเซ็นทรัลพลาซา ปิ่นเกล้าด้วย ซึ่งแผนงานดังกล่าวจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับกองทุนรวม CPNRF เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหน่วยลงทุนในรูปแบบของอัตราผลตอบแทนต่อหน่วยลงทุน (Dividend per Unit)
ล่าสุด ที่ประชุมผู้ถือหุ้น ยังมีมติให้กองทุนรวมลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมโดยการเช่าอาคารศูนย์การค้า (บางส่วน) จำนวน 1 อาคารและอาคารสำนักงาน จำนวน 2 อาคาร(ทั้งอาคาร) ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการเซ็นทรัลพลาซ่า ปิ่นเกล้า รวมทั้งที่จอดรถยนต์ภายในอาคารด้วย โดยกองทุนรวมจะพิจารณาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โครงการเซ็นทรัล พลาซา ปิ่นเกล้า เป็นระยะเวลาประมาณ 15 ปี ด้วยการเพิ่มทุนของกองทุนรวมจำนวนไม่เกิน 6,706.00 ล้านบาท จากมูลค่าเงินทุนของกองทุนรวมเดิมจำนวน 10,915.00 ล้านบาท เป็นเงินทุนใหม่จำนวนไม่เกิน 17,621.00 ล้านบาท โดยการออกและเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติม ในจำนวนไม่เกิน 839,000,000 หน่วย และตามมูลค่าหน่วยลงทุนที่คณะกรรมการลงทุนจะได้กำหนดต่อไป
สำหรับการเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะมีการจัดสรรหน่วยลงทุนจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนหน่วยลงทุนที่ออก และเสนอขายเพิ่มเติมในครั้งนี้ เพื่อเสนอขายให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมที่มี รายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุน (Rights Offering) ส่วนที่เหลือจัดสรรหน่วยลงทุนจำนวนไม่เกินร้อยละ 50 ของจำนวนหน่วยลงทุนที่ออกและ เสนอขายเพิ่มเติมในครั้งนี้ เพื่อเสนอขายให้กับประชาชนและผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) และ/หรือให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement)
นางโชติกา สวนานนท์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่า ที่ประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท (CPNRF) เมื่อวันที่ 17 ส.ค. 52 ได้มีมติอนุมัติให้เปลี่ยนบริษัทจัดการกองทุนรวมเดิมเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBAM) ด้วยมติเอกฉันท์ของผู้ถือหน่วยลงทุนที่เข้าร่วมประชุมร้อยละ 77 โดยได้รับคะแนนเสียงเห็นชอบราวร้อยละ 72 และงดออกเสียงร้อยละ 5 ซึ่งมีผลทำให้ บลจ. ไทยพาณิชย์ เข้ามาทำหน้าที่บริหารจัดการกองทุนทันทีในวันถัดจากวันที่ผู้ถือหน่วยลงทุนมีมติอนุมัติ และทำให้มูลค่าสินทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ของ บลจ. ไทยพาณิชย์ เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 359,817 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 18 ส.ค. 2552)
ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการย้ายเก้าอี้กรรมการผู้จัดการของนางโชติกา สวนานนท์ จากบลจ.ทหารไทย ไปอยู่บลจ.ไทยพาณิชย์นั่นเอง ซึ่งนางโชติกาเองถือว่า เป็นผู้ที่จัดตั้งกองทุนนี้ขึ้นมาตั้งแต่ต้น ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงบริษัทจัดการดังกล่าว ส่งผลให้บลจ.ไทยพาณิชย์ มีสินทรัพย์ในธุรกิจกองทุนรวมขยับขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ทันที หลังจากรับโอนเงินกองทุนมาประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ ยังจะมีเงินเพิ่มจากการเพิ่มทุนของกองทุนดังกล่าวอีกประมาณ 6 พันล้านบาทด้วย
“บลจ.ไทยพาณิชย์ต้องขอขอบคุณผู้ถือหน่วยลงทุน CPNRF ที่ได้ให้ความไว้วางใจให้บริหารจัดการกองทุน และเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของกลุ่มธนาคารไทยพาณิชย์ที่มีบริการครบวงจรและเครือข่ายสาขาที่ครอบคลุมทั่วประเทศจสามารถะช่วยให้การบริหารกองทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน"นางโชติกากล่าว
สำหรับการเข้ามาบริหารกองทุนในครั้งนี้ นางโชติกากล่าวว่า ในระยะแรกของ บลจ.ไทยพาณิชย์จะดำเนินการตามนโยบายกองทุน และบริหารสินทรัพย์ของกองทุน คือ สิทธิการเช่าช่วงที่ดินและสิทธิการเช่าอาคารบางส่วนและงานระบบของโครงการเซ็นทรัล พลาซา พระราม 2 และพระราม 3 แล้ว ในอนาคตบริษัทฯ มีแผนการที่จะเพิ่มทุนโดยนำไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โครงการเซ็นทรัลพลาซา ปิ่นเกล้าด้วย ซึ่งแผนงานดังกล่าวจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับกองทุนรวม CPNRF เพื่อผลประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหน่วยลงทุนในรูปแบบของอัตราผลตอบแทนต่อหน่วยลงทุน (Dividend per Unit)
ล่าสุด ที่ประชุมผู้ถือหุ้น ยังมีมติให้กองทุนรวมลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติมโดยการเช่าอาคารศูนย์การค้า (บางส่วน) จำนวน 1 อาคารและอาคารสำนักงาน จำนวน 2 อาคาร(ทั้งอาคาร) ซึ่งตั้งอยู่ในโครงการเซ็นทรัลพลาซ่า ปิ่นเกล้า รวมทั้งที่จอดรถยนต์ภายในอาคารด้วย โดยกองทุนรวมจะพิจารณาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โครงการเซ็นทรัล พลาซา ปิ่นเกล้า เป็นระยะเวลาประมาณ 15 ปี ด้วยการเพิ่มทุนของกองทุนรวมจำนวนไม่เกิน 6,706.00 ล้านบาท จากมูลค่าเงินทุนของกองทุนรวมเดิมจำนวน 10,915.00 ล้านบาท เป็นเงินทุนใหม่จำนวนไม่เกิน 17,621.00 ล้านบาท โดยการออกและเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มเติม ในจำนวนไม่เกิน 839,000,000 หน่วย และตามมูลค่าหน่วยลงทุนที่คณะกรรมการลงทุนจะได้กำหนดต่อไป
สำหรับการเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะมีการจัดสรรหน่วยลงทุนจำนวนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของจำนวนหน่วยลงทุนที่ออก และเสนอขายเพิ่มเติมในครั้งนี้ เพื่อเสนอขายให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมที่มี รายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุน (Rights Offering) ส่วนที่เหลือจัดสรรหน่วยลงทุนจำนวนไม่เกินร้อยละ 50 ของจำนวนหน่วยลงทุนที่ออกและ เสนอขายเพิ่มเติมในครั้งนี้ เพื่อเสนอขายให้กับประชาชนและผู้ลงทุนทั่วไป (Public Offering) และ/หรือให้แก่บุคคลในวงจำกัด (Private Placement)