ผ่านมาครึ่งปีแล้ว สำหรับผู้ที่คิดจะลงทุนในกองทุน RMF และ LTF ก็ยังมีเวลาอยู่อีกประมาณ 5 เดือนสำหรับการตัดสินใจในการเลือกลงทุนหรือศึกษาหาข้อมูลของกองทุน ซึ่งเป็นทางเลือกให้กับบุคคลธรรมดาทุกท่านที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้จะใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารเงิน และผมมักจะพบกับคำถามที่เจอบ่อย ๆ หรือเป็นคำถามยอดฮิตสำหรับนักลงทุนในกองทุนก่อนตัดสินใจซื้อ หลายข้อที่น่าสนใจครับ
ถ้าจะให้เลือกลงทุนระหว่างกองทุน RMF หรือ LTF ควรจะเลือกอย่างไร
พูดกันง่าย ๆ ก็คือถ้านักลงทุนท่านใดมีงบประมาณในการซื้อกองทุนเพียงพอ อยากจะแนะนำให้ท่านลงทุนตามอัตราที่กฏหมายกำหนดทั้ง 2 กองทุน ไม่ว่าจะเป็น RMF หรือ LTF แต่ปัจจุบันจะพบว่ายังมีภาระที่จำเป็นจึงทำให้ไม่สามารถลงทุนได้มากขนาดนั้น ก็คงต้องมาพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ เช่น รายได้ อายุ ภาระการใช้จ่าย และ ความพร้อมที่จะรับความเสี่ยง
ถ้าเป็นผู้มีรายได้สูง เมื่อเทียบกับภาระค่าใช้จ่าย และถ้านักลงทุนยังมีอายุน้อย คือ อายุประมาณไม่เกิน 40 ก็ถือว่าอยู่ในกลุ่มที่ควรลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงอย่าง LTF ที่มีหุ้น 65-100 % ได้แต่ก่อนที่จะลงทุนก็ควรเตรียมตัวมีความพร้อมที่จะรับความเสี่ยง และความผันผวนที่จะขาดทุนมากบ้าง กำไรมากบ้าง และระยะเวลาการลงทุนที่กำหนดไว้
และด้วยเงื่อนไขการลงทุนและถือครองนี้ ทำให้ไม่สามารถขายหน่วยลงทุนออกมาในระยะสั้นได้ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมาดูราคาหน่วยลงทุนตลอดเวลา แต่ที่เลือกลงทุนในหุ้นก็เพื่อยังมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งมักจะให้ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นไม่ทันต่อเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทุกปี
ที่กล่าวมามิได้เน้นให้ลงทุนใน LTF มากกว่า RMF แต่ถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้เลือกลงทุนในหุ้นได้โดยนักลงทุนที่พร้อมที่จะลงในหุ้นอยู่แล้ว LTF จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมจนถึงปี 2559 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่ผู้ลงทุนจะได้รับประโยชน์จากสิทธิในการหักลดหย่อนภาษี
ขณะเดียวกันมีความคล่องตัวสูงกว่าสามารถไถ่ถอนหน่วยลงทุนได้เมื่อครบ 5 ปีปฏิทิน เป็นการเผื่อไว้สำหรับผู้ลงทุนกรณีมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อน และสามารถนำเงินลงุทนที่ครบกำหนดไถ่ถอนกลับมาใช้จ่ายและบริหารจัดการสภาพคล่องได้อีกครั้ง
แล้ว RMF จะเหมาะกับใคร
RMF จะเหมาะกับผู้ที่ไม่พร้อมรับความเสี่ยงสูงมากได้ หรือผู้ที่ไม่ควรจะรับความเสี่ยงสูงแล้วเนื่องจากใกล้เกษียณอายุ เป็นต้น นอกจากนี้ RMF ยังเหมาะกับนักลงทุนที่ชอปปรับเปลี่ยนการลงทุนระหว่างกองทุนหุ้นและกองทุนตราสารหนี้ด้วยตนเองอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งเป็นผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง แต่ว่า LTF ไม่สามารถตอบสอนความต้องการนี้ได้เหมือน RMF
แต่ถึงอย่างไรนักลงทุนต้องรู้จักตนเองก่อนว่าต้องการลงทุนอย่างไร รับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด ต้องทำความเข้าใจก่อนที่จะเลือกลงทุนไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไข นโยบาย อย่างเช่น การลงทุนในหุ้นมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว มากกว่าการลงทุนประเภทอื่น แต่ก็อย่าลืมว่ามีความผันผวนและความเสี่ยงมากเช่นกัน
ส่วนกองทุนตราสารหนี้ระยะยาวเองก็จะมีโอกาสขาดทุนหรือได้กำไรน้อยกว่าหุ้น เป็นต้น
หลักเกณฑ์ง่ายๆ ที่ใช้เลือกกองทุน RMF และ LTF
สิ่งแรก ๆ ที่ควรดู คือจะต้องคำนึงถึงนโยบายการลงทุน ผลตอบแทนในอดีต และความสะดวกในการลงทุน สำหรับการเปรียบเทียบผลตอบแทนในอดีตก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเสมอ แต่เป็นเครื่องมืออีกอย่างนึงที่จะใช้ประกอบการตัดสินใจ
การพิจารณาผลตอบแทนในอดีตนี้ช่วยให้เรารู้ว่าในระยะเวลาที่ผ่านมาผลตอบแทนของกองทุนเมื่อเทียบกับดัชนี้อ้างอิงเป็นอย่างไร จากข้อมูลที่ใช้ ย้อนหลังไป 3 เดือน, 6 เดือน, 12 เดือน และ ตั้งแต่ต้นปี
สำหรับความสะดวกในการลงทุนนั้น ถ้าพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ที่มีความใกล้เคียงกัน เช่นผลตอบแทน นโยบายที่คล้ายกัน อาจเลือกลงทุนที่สามารถให้ความสะดวกสบาย เช่น การซื้อขายผ่านช่องทางอิเล็คทรอนิคส์ เป็นต้น
ถ้าจะให้เลือกลงทุนระหว่างกองทุน RMF หรือ LTF ควรจะเลือกอย่างไร
พูดกันง่าย ๆ ก็คือถ้านักลงทุนท่านใดมีงบประมาณในการซื้อกองทุนเพียงพอ อยากจะแนะนำให้ท่านลงทุนตามอัตราที่กฏหมายกำหนดทั้ง 2 กองทุน ไม่ว่าจะเป็น RMF หรือ LTF แต่ปัจจุบันจะพบว่ายังมีภาระที่จำเป็นจึงทำให้ไม่สามารถลงทุนได้มากขนาดนั้น ก็คงต้องมาพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ เช่น รายได้ อายุ ภาระการใช้จ่าย และ ความพร้อมที่จะรับความเสี่ยง
ถ้าเป็นผู้มีรายได้สูง เมื่อเทียบกับภาระค่าใช้จ่าย และถ้านักลงทุนยังมีอายุน้อย คือ อายุประมาณไม่เกิน 40 ก็ถือว่าอยู่ในกลุ่มที่ควรลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงสูงอย่าง LTF ที่มีหุ้น 65-100 % ได้แต่ก่อนที่จะลงทุนก็ควรเตรียมตัวมีความพร้อมที่จะรับความเสี่ยง และความผันผวนที่จะขาดทุนมากบ้าง กำไรมากบ้าง และระยะเวลาการลงทุนที่กำหนดไว้
และด้วยเงื่อนไขการลงทุนและถือครองนี้ ทำให้ไม่สามารถขายหน่วยลงทุนออกมาในระยะสั้นได้ จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมาดูราคาหน่วยลงทุนตลอดเวลา แต่ที่เลือกลงทุนในหุ้นก็เพื่อยังมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งมักจะให้ผลตอบแทนที่เกิดขึ้นไม่ทันต่อเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทุกปี
ที่กล่าวมามิได้เน้นให้ลงทุนใน LTF มากกว่า RMF แต่ถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้เลือกลงทุนในหุ้นได้โดยนักลงทุนที่พร้อมที่จะลงในหุ้นอยู่แล้ว LTF จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมจนถึงปี 2559 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่ผู้ลงทุนจะได้รับประโยชน์จากสิทธิในการหักลดหย่อนภาษี
ขณะเดียวกันมีความคล่องตัวสูงกว่าสามารถไถ่ถอนหน่วยลงทุนได้เมื่อครบ 5 ปีปฏิทิน เป็นการเผื่อไว้สำหรับผู้ลงทุนกรณีมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อน และสามารถนำเงินลงุทนที่ครบกำหนดไถ่ถอนกลับมาใช้จ่ายและบริหารจัดการสภาพคล่องได้อีกครั้ง
แล้ว RMF จะเหมาะกับใคร
RMF จะเหมาะกับผู้ที่ไม่พร้อมรับความเสี่ยงสูงมากได้ หรือผู้ที่ไม่ควรจะรับความเสี่ยงสูงแล้วเนื่องจากใกล้เกษียณอายุ เป็นต้น นอกจากนี้ RMF ยังเหมาะกับนักลงทุนที่ชอปปรับเปลี่ยนการลงทุนระหว่างกองทุนหุ้นและกองทุนตราสารหนี้ด้วยตนเองอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งเป็นผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูง แต่ว่า LTF ไม่สามารถตอบสอนความต้องการนี้ได้เหมือน RMF
แต่ถึงอย่างไรนักลงทุนต้องรู้จักตนเองก่อนว่าต้องการลงทุนอย่างไร รับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด ต้องทำความเข้าใจก่อนที่จะเลือกลงทุนไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไข นโยบาย อย่างเช่น การลงทุนในหุ้นมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงในระยะยาว มากกว่าการลงทุนประเภทอื่น แต่ก็อย่าลืมว่ามีความผันผวนและความเสี่ยงมากเช่นกัน
ส่วนกองทุนตราสารหนี้ระยะยาวเองก็จะมีโอกาสขาดทุนหรือได้กำไรน้อยกว่าหุ้น เป็นต้น
หลักเกณฑ์ง่ายๆ ที่ใช้เลือกกองทุน RMF และ LTF
สิ่งแรก ๆ ที่ควรดู คือจะต้องคำนึงถึงนโยบายการลงทุน ผลตอบแทนในอดีต และความสะดวกในการลงทุน สำหรับการเปรียบเทียบผลตอบแทนในอดีตก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเสมอ แต่เป็นเครื่องมืออีกอย่างนึงที่จะใช้ประกอบการตัดสินใจ
การพิจารณาผลตอบแทนในอดีตนี้ช่วยให้เรารู้ว่าในระยะเวลาที่ผ่านมาผลตอบแทนของกองทุนเมื่อเทียบกับดัชนี้อ้างอิงเป็นอย่างไร จากข้อมูลที่ใช้ ย้อนหลังไป 3 เดือน, 6 เดือน, 12 เดือน และ ตั้งแต่ต้นปี
สำหรับความสะดวกในการลงทุนนั้น ถ้าพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ที่มีความใกล้เคียงกัน เช่นผลตอบแทน นโยบายที่คล้ายกัน อาจเลือกลงทุนที่สามารถให้ความสะดวกสบาย เช่น การซื้อขายผ่านช่องทางอิเล็คทรอนิคส์ เป็นต้น
