รู้จักกับ Benchmark ของกองทุน
ตามที่ได้กล่าวไปแล้วในครั้งก่อนเกี่ยวกับการวัดผลตอบแทนการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ในครั้งนี้จะขอแนะนำถึงการเลือก “ตัวชี้วัด (benchmark)” เพื่อช่วยคณะกรรมการและสมาชิกกองทุนในการวัดผลการดำเนินงานของกองทุนอย่างเหมาะสม โดยประกาศสมาคมบริษัทจัดการลงทุนเกี่ยวกับมาตรฐานการวัดผลการดำเนินงาน ซึ่งมีผลบังคับเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2552 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการกำหนดตัวชี้วัดเพื่อให้วัดผลการดำเนินงานของกองทุนให้สอดคล้องกับนโยบายการลงทุน และสะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการลงทุนของผู้จัดการกองทุน สรุปได้ดังนี้
1.ตัวชี้วัด (benchmark) ที่ใช้ต้องเป็นตัวชี้วัดตามประเภทหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินที่กองทุนลงทุน ทั้งนี้เพื่อให้เป็นการวัดผลที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงในของสิ่งเดียวกัน
ยกตัวอย่างกรณีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นควรใช้ตัวชี้วัดที่เป็นดัชนีราคาหุ้น เนื่องจากกองทุนเหล่านี้จะมีผลการดำเนินงานสัมพันธ์กับราคาหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหุ้น ผู้จัดการกองทุนที่มีความสามารถจึงควรทำให้กองทุนมีผลการดำเนินงานจากการลงทุนในหุ้นที่ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาหุ้น และไม่ใช่เอากองทุนนี้ไปเปรียบเทียบกับกับตัวชี้วัดที่สะท้อนราคาขึ้นลงของหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินประเภทอื่น ๆ อาทิ เงินฝาก หรือดัชนีตลาดตราสารหนี้ ซึ่งราคาตราสารเหล่านี้จะแปรผันตามปัจจัยอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการขึ้นลงของราคาหุ้น และไม่สัมพันธ์กับความสามารถในการจัดการลงทุนในหุ้นของผู้จัดการกองทุนแต่อย่างไร
2.ตัวชี้วัดผสม (composite benchmark) ต้องคำนวณจากตัวชี้วัดตามประเภทหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินที่กองทุนลงทุน ตามน้ำหนักให้สอดคล้องกับนโยบายการลงทุน
ในอดีตกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมักจะวัดผลการดำเนินงานเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปี ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ซึ่งมีข้อด้อยและไม่เหมาะสมเนื่องจากในชีวิตจริงกองทุนจะลงทุนในหลักทรัพย์และทรัพย์สินหลากหลายประเภท ดังนั้นจึงต้องผสมตัวชี้วัดที่ใช้เป็นตัวแทนของหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินแต่ละประเภท ให้สอดคล้องกับน้ำหนักของหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินตามที่นโยบายการลงทุนกำหนด
ยกตัวอย่างกองทุนกำหนดนโยบายการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 40% และส่วนที่เหลือให้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ในที่นี้กองทุนจะลงทุนในหุ้นได้ตั้งแต่ 0-40% การคำนวณน้ำหนักตัวชี้วัดตามประเภทหลักทรัพย์ในส่วนที่ลงทุนในหุ้น จะใช้ดัชนีราคาหุ้นโดยมีน้ำหนักที่จะผสมในตัวชี้วัดผสมเท่ากับไม่น้อยกว่า ค่าเฉลี่ยของน้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่ต่ำสุด (0%) และสูงสุด (40%) ตามที่กำหนดในนโยบายการลงทุน ซึ่งในที่นี้จะเท่ากับ (0%+40%) หารด้วย (2) ผลลัพธ์คือตัวชี้วัดต้องมีสัดส่วนของดัชนีราคาหุ้นไม่น้อยกว่า 20% แล้วแต่จะตกลงกันระหว่างผู้จ้างและผู้รับจ้าง และสัดส่วนที่เหลือจะผสมด้วยตัวชี้วัดในส่วนของดัชนีราคาพันธบัตรรัฐบาล
3.ต้องเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนกับตัวชี้วัดในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนกับตัวชี้วัด ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากภาวะการลงทุนที่เหมือนกันในช่วงเวลาเดียวกัน
ปัจจุบันนี้สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนดให้คณะกรรมการกองทุนต้องตกลงกับผู้จัดการกองทุนตั้งแต่เริ่มจ้าง ให้ระบุตัวชี้วัดที่เหมาะสมนี้ในสัญญามอบหมายให้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยบริษัทจัดการผู้ให้บริการจัดการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะคำนวณผลการดำเนินงานของกองทุน และตัวชี้วัดตามที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญาฯ เพื่อรายงานให้คณะกรรมการกองทุนและสมาชิกกองทุนทราบเป็นรายเดือนค่ะ
ตามที่ได้กล่าวไปแล้วในครั้งก่อนเกี่ยวกับการวัดผลตอบแทนการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ในครั้งนี้จะขอแนะนำถึงการเลือก “ตัวชี้วัด (benchmark)” เพื่อช่วยคณะกรรมการและสมาชิกกองทุนในการวัดผลการดำเนินงานของกองทุนอย่างเหมาะสม โดยประกาศสมาคมบริษัทจัดการลงทุนเกี่ยวกับมาตรฐานการวัดผลการดำเนินงาน ซึ่งมีผลบังคับเริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2552 ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการกำหนดตัวชี้วัดเพื่อให้วัดผลการดำเนินงานของกองทุนให้สอดคล้องกับนโยบายการลงทุน และสะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการลงทุนของผู้จัดการกองทุน สรุปได้ดังนี้
1.ตัวชี้วัด (benchmark) ที่ใช้ต้องเป็นตัวชี้วัดตามประเภทหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินที่กองทุนลงทุน ทั้งนี้เพื่อให้เป็นการวัดผลที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงในของสิ่งเดียวกัน
ยกตัวอย่างกรณีกองทุนที่ลงทุนในหุ้นควรใช้ตัวชี้วัดที่เป็นดัชนีราคาหุ้น เนื่องจากกองทุนเหล่านี้จะมีผลการดำเนินงานสัมพันธ์กับราคาหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดหุ้น ผู้จัดการกองทุนที่มีความสามารถจึงควรทำให้กองทุนมีผลการดำเนินงานจากการลงทุนในหุ้นที่ดีกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาหุ้น และไม่ใช่เอากองทุนนี้ไปเปรียบเทียบกับกับตัวชี้วัดที่สะท้อนราคาขึ้นลงของหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินประเภทอื่น ๆ อาทิ เงินฝาก หรือดัชนีตลาดตราสารหนี้ ซึ่งราคาตราสารเหล่านี้จะแปรผันตามปัจจัยอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการขึ้นลงของราคาหุ้น และไม่สัมพันธ์กับความสามารถในการจัดการลงทุนในหุ้นของผู้จัดการกองทุนแต่อย่างไร
2.ตัวชี้วัดผสม (composite benchmark) ต้องคำนวณจากตัวชี้วัดตามประเภทหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินที่กองทุนลงทุน ตามน้ำหนักให้สอดคล้องกับนโยบายการลงทุน
ในอดีตกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมักจะวัดผลการดำเนินงานเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปี ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ซึ่งมีข้อด้อยและไม่เหมาะสมเนื่องจากในชีวิตจริงกองทุนจะลงทุนในหลักทรัพย์และทรัพย์สินหลากหลายประเภท ดังนั้นจึงต้องผสมตัวชี้วัดที่ใช้เป็นตัวแทนของหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินแต่ละประเภท ให้สอดคล้องกับน้ำหนักของหลักทรัพย์หรือทรัพย์สินตามที่นโยบายการลงทุนกำหนด
ยกตัวอย่างกองทุนกำหนดนโยบายการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 40% และส่วนที่เหลือให้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ในที่นี้กองทุนจะลงทุนในหุ้นได้ตั้งแต่ 0-40% การคำนวณน้ำหนักตัวชี้วัดตามประเภทหลักทรัพย์ในส่วนที่ลงทุนในหุ้น จะใช้ดัชนีราคาหุ้นโดยมีน้ำหนักที่จะผสมในตัวชี้วัดผสมเท่ากับไม่น้อยกว่า ค่าเฉลี่ยของน้ำหนักการลงทุนในหุ้นที่ต่ำสุด (0%) และสูงสุด (40%) ตามที่กำหนดในนโยบายการลงทุน ซึ่งในที่นี้จะเท่ากับ (0%+40%) หารด้วย (2) ผลลัพธ์คือตัวชี้วัดต้องมีสัดส่วนของดัชนีราคาหุ้นไม่น้อยกว่า 20% แล้วแต่จะตกลงกันระหว่างผู้จ้างและผู้รับจ้าง และสัดส่วนที่เหลือจะผสมด้วยตัวชี้วัดในส่วนของดัชนีราคาพันธบัตรรัฐบาล
3.ต้องเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนกับตัวชี้วัดในช่วงเวลาเดียวกัน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานของกองทุนกับตัวชี้วัด ซึ่งจะได้รับผลกระทบจากภาวะการลงทุนที่เหมือนกันในช่วงเวลาเดียวกัน
ปัจจุบันนี้สำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. กำหนดให้คณะกรรมการกองทุนต้องตกลงกับผู้จัดการกองทุนตั้งแต่เริ่มจ้าง ให้ระบุตัวชี้วัดที่เหมาะสมนี้ในสัญญามอบหมายให้จัดการกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ โดยบริษัทจัดการผู้ให้บริการจัดการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะคำนวณผลการดำเนินงานของกองทุน และตัวชี้วัดตามที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญาฯ เพื่อรายงานให้คณะกรรมการกองทุนและสมาชิกกองทุนทราบเป็นรายเดือนค่ะ