ASTVผู้จัดการรายวัน - แบงก์ไทยพาณิยช์เตรียมทบทวนเป้าระดมเงินฝากหลัง 5 เดือนยอดเงินฝากทะลุเป้าหมายทั้งปีที่ 70,000 ล้านบาท พร้อมพิจารณาอัตราดอกเบี้ยเงินฝากแต่ไม่สรุปว่าจะไปทิศทางเดียวกับที่ 2แบงก์ใหญ่ที่ปรับขึ้นไปก่อนหน้าหรือไม่ เพราะกลุ่มลูกค้าไม่เหมือนกัน
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายผลิตภัณฑ์เงินฝากและการลงทุน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า ธนาคารเตรียมจะทบทวนเกี่ยวกับเป้าหมายการระดมเงินฝากอีกครั้ง จากเดิมตั้งเป้าหมายจะระดมเงินฝากประมาณ 70,000 ล้านบาท แต่ผ่านมา 5 เดือนธนาคารสามารถระดมเงินฝากได้ตามเป้าหมายแล้ว ส่วนฐานเงินฝากของธนาคารปัจจุบันอยู่ที่กว่า 900,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาได้มีลูกค้าที่ใช้บริการกองทุนรวมเพิ่มขึ้นประมาณกว่า 40,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าเก่าซึ่งมีบัญชีเงินฝากกับธนาคารและย้ายเงินส่วนหนึ่งมาลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งทำให้รวมแล้วในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานี้มีธนาคารมีเม็ดเงินจากเงินฝากและกองทุนรวมเข้ามาประมาณเกือบ 1 แสนล้านบาท
"สิ่งที่เราช่วยลูกค้าตอนนี้คือเมื่อเขาได้รับอัตราดอกเบี้ยจากเงินฝากที่ไม่สูงนัก เราก็แนะนำให้เขามาลงทุนในแนวอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าแทน เช่น กองทุนต่าง ๆ หรือทำการประกัน เป็นต้น
เราไม่ได้พยายามผลักลูกค้าเงินฝากออกไปอยู่ในกองอื่นเพราะจะเป็นต้นทุนกับเรา แต่อยากช่วยลูกค้าให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี" นายอดิศร กล่าวว่า
นอกจากนี้ ธนาคารยังอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก หลังจากที่มีธนาคารขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือธนาคากรุงเทพและธนาคารกสิกรไทยได้ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปก่อนหน้าแล้ว โดยการพิจารณานั้นจะต้องดูจากปัจจัยหลายด้าน อีกทั้งจะมีการปรับไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่นั้นยังไม่สามารถตอบได้ เพราะต้องยอมรับก่อนว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของแต่ละธนาคารเป็นคนละกลุ่มกัน โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยของ 2 ธนาคารขนาดใหญ่นั้น ยังไม่ได้ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินฝากไปแต่อย่างใด เนื่องจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวนั้นเป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ซึ่งหากจากให้มีผลมากคงต้องไปปรับที่เงินฝากประจำ 3 เดือนมากกว่า เพราะลูกค้ากลุ่มนี้มีมากถึง 50% ของฐานเงินฝากทั้งหมด ส่วนที่เป็นเงินฝากประจำ 12 เดือนมีสัดส่วนอยู่เพียง 20%
"สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยโดยรวมของระบบนั้น มองว่า ถ้าพิจารณาจากสภาพคล่องในระบบนนั้นถือว่ายังมีอยู่มาก อีกทั้งในส่วนของสินเชื่อก็ไม่มีการขยายตัว จึงทำให้มองได้ว่าโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยภาพรวมมีโอกาสน้อยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือบางทีก็อาจจะขึ้นได้แต่คงไม่มากนัก"
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายผลิตภัณฑ์เงินฝากและการลงทุน ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยว่า ธนาคารเตรียมจะทบทวนเกี่ยวกับเป้าหมายการระดมเงินฝากอีกครั้ง จากเดิมตั้งเป้าหมายจะระดมเงินฝากประมาณ 70,000 ล้านบาท แต่ผ่านมา 5 เดือนธนาคารสามารถระดมเงินฝากได้ตามเป้าหมายแล้ว ส่วนฐานเงินฝากของธนาคารปัจจุบันอยู่ที่กว่า 900,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมาได้มีลูกค้าที่ใช้บริการกองทุนรวมเพิ่มขึ้นประมาณกว่า 40,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นทั้งลูกค้าใหม่และลูกค้าเก่าซึ่งมีบัญชีเงินฝากกับธนาคารและย้ายเงินส่วนหนึ่งมาลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งทำให้รวมแล้วในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานี้มีธนาคารมีเม็ดเงินจากเงินฝากและกองทุนรวมเข้ามาประมาณเกือบ 1 แสนล้านบาท
"สิ่งที่เราช่วยลูกค้าตอนนี้คือเมื่อเขาได้รับอัตราดอกเบี้ยจากเงินฝากที่ไม่สูงนัก เราก็แนะนำให้เขามาลงทุนในแนวอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าแทน เช่น กองทุนต่าง ๆ หรือทำการประกัน เป็นต้น
เราไม่ได้พยายามผลักลูกค้าเงินฝากออกไปอยู่ในกองอื่นเพราะจะเป็นต้นทุนกับเรา แต่อยากช่วยลูกค้าให้ได้รับผลตอบแทนที่ดี" นายอดิศร กล่าวว่า
นอกจากนี้ ธนาคารยังอยู่ระหว่างการพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก หลังจากที่มีธนาคารขนาดใหญ่ 2 แห่ง คือธนาคากรุงเทพและธนาคารกสิกรไทยได้ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นไปก่อนหน้าแล้ว โดยการพิจารณานั้นจะต้องดูจากปัจจัยหลายด้าน อีกทั้งจะมีการปรับไปในทิศทางเดียวกันหรือไม่นั้นยังไม่สามารถตอบได้ เพราะต้องยอมรับก่อนว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายของแต่ละธนาคารเป็นคนละกลุ่มกัน โดยการปรับอัตราดอกเบี้ยของ 2 ธนาคารขนาดใหญ่นั้น ยังไม่ได้ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินฝากไปแต่อย่างใด เนื่องจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวนั้นเป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน ซึ่งหากจากให้มีผลมากคงต้องไปปรับที่เงินฝากประจำ 3 เดือนมากกว่า เพราะลูกค้ากลุ่มนี้มีมากถึง 50% ของฐานเงินฝากทั้งหมด ส่วนที่เป็นเงินฝากประจำ 12 เดือนมีสัดส่วนอยู่เพียง 20%
"สำหรับทิศทางอัตราดอกเบี้ยโดยรวมของระบบนั้น มองว่า ถ้าพิจารณาจากสภาพคล่องในระบบนนั้นถือว่ายังมีอยู่มาก อีกทั้งในส่วนของสินเชื่อก็ไม่มีการขยายตัว จึงทำให้มองได้ว่าโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยภาพรวมมีโอกาสน้อยที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หรือบางทีก็อาจจะขึ้นได้แต่คงไม่มากนัก"
