กระทรวงการคลัง เห็นชอบร่างพ.ร.บ. กองทุนบำนาญแห่งชาติ ส่งเข้าบอร์ดพัฒนาตลาดทุน วันนี้ (20 ก.ค.)
นายสมชัย สัจจพงศ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 20 กรกฏาคมนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุน โดยมีนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ซึ่งการประชุมครั้งนี้ จะมีการพิจารณาการแปรสภาพตลาดทุนไทย การแก้ไขกฎหมายต่างๆ รวมถึงเสนอการปรับปรุงระบบภาษี เพื่อพัฒนาตลาดทุน นอกจากนั้น ยังจะนำเสนอรูปแบบการออมเพื่อการเกษียณอายุ เพื่อให้สิทธิกับประชาชนให้มีระบบการบำนาญ
ทั้งนี้ ในส่วนของร่างกองทุนบำนาญแห่งชาติ (กบช.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เห็นชอบในหลักการแล้ว เหลือเพียงการเสนอร่างพ.ร.บ.กบช.เท่านั้น ซี่งในหลักการสมทบจะแบ่งเป็น อายุระหว่าง 20-30 ปี หากใส่งเงินเข้า 100 บาทต่อ รัฐบาลจะสมทบให้ 50 บาท และอายุ 31-50 ปี ใส่งเงินเข้า 100 บาท รัฐบาลจะสมทบให้ 80 บาท และหากอายุ 51 ปีขึ้นไปรัฐบาลจะสมทบให้ 100 บาท กรณีที่ประชาชนใส่เงินเข้ามา 100 บาท
สำหรับในรูปแบบการบริหาร กบช. รัฐบาลจะรับประกันผลตอบแทนให้ไม่ต่ำกว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำอายุ 1 ปี และการจ่ายคืนตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไปจะเป็นการทยอยจ่าย อย่างน้อยประมาณ 2,000-2,500 บาทต่อเดือน และเมื่อรวมกับเบี้ยผู้สูงอายุอีกเดือนละ 500 บาท ก็จะทำให้ผู้สูงอายุมีรายได้ต่อเดือนประมาณ 3,000 บาท ซึ่งน่าจะเป็นค่าใช้จ่ายพื้นฐานให้กับคนแก่ที่อยู่นอกระบบการประกันสังคมและสำรองเลี้ยงชีพได้
นายสมชัย กล่าวว่า สำหรับแนวทางการลดหย่อนภาษีจากดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์นั้น ขณะนี้กรมสรรพากรอยู่ระหว่างศึกษาในรายละเอียด เพื่อให้สะดวกกับการจัดเก็บภาษี ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประชาชนหลายล้านคน เพราะรายได้จากการจัดเก็บภาษีในส่วนนี้ไม่มาก แต่มีคนที่ได้รับผลกระทบจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลไม่กลัวว่าจะสูญเสียรายได้จากขยายวงเงินลดหย่อนภาษีดอกเบี้ยนี้ แต่ต้องการช่วยเหลือ 6-7 ล้านบัญชีที่มีในปัจจุบันมากกว่า
นายสมชัย สัจจพงศ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 20 กรกฏาคมนี้ จะมีการประชุมคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุน โดยมีนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน ซึ่งการประชุมครั้งนี้ จะมีการพิจารณาการแปรสภาพตลาดทุนไทย การแก้ไขกฎหมายต่างๆ รวมถึงเสนอการปรับปรุงระบบภาษี เพื่อพัฒนาตลาดทุน นอกจากนั้น ยังจะนำเสนอรูปแบบการออมเพื่อการเกษียณอายุ เพื่อให้สิทธิกับประชาชนให้มีระบบการบำนาญ
ทั้งนี้ ในส่วนของร่างกองทุนบำนาญแห่งชาติ (กบช.) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เห็นชอบในหลักการแล้ว เหลือเพียงการเสนอร่างพ.ร.บ.กบช.เท่านั้น ซี่งในหลักการสมทบจะแบ่งเป็น อายุระหว่าง 20-30 ปี หากใส่งเงินเข้า 100 บาทต่อ รัฐบาลจะสมทบให้ 50 บาท และอายุ 31-50 ปี ใส่งเงินเข้า 100 บาท รัฐบาลจะสมทบให้ 80 บาท และหากอายุ 51 ปีขึ้นไปรัฐบาลจะสมทบให้ 100 บาท กรณีที่ประชาชนใส่เงินเข้ามา 100 บาท
สำหรับในรูปแบบการบริหาร กบช. รัฐบาลจะรับประกันผลตอบแทนให้ไม่ต่ำกว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำอายุ 1 ปี และการจ่ายคืนตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไปจะเป็นการทยอยจ่าย อย่างน้อยประมาณ 2,000-2,500 บาทต่อเดือน และเมื่อรวมกับเบี้ยผู้สูงอายุอีกเดือนละ 500 บาท ก็จะทำให้ผู้สูงอายุมีรายได้ต่อเดือนประมาณ 3,000 บาท ซึ่งน่าจะเป็นค่าใช้จ่ายพื้นฐานให้กับคนแก่ที่อยู่นอกระบบการประกันสังคมและสำรองเลี้ยงชีพได้
นายสมชัย กล่าวว่า สำหรับแนวทางการลดหย่อนภาษีจากดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์นั้น ขณะนี้กรมสรรพากรอยู่ระหว่างศึกษาในรายละเอียด เพื่อให้สะดวกกับการจัดเก็บภาษี ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประชาชนหลายล้านคน เพราะรายได้จากการจัดเก็บภาษีในส่วนนี้ไม่มาก แต่มีคนที่ได้รับผลกระทบจำนวนมาก ซึ่งรัฐบาลไม่กลัวว่าจะสูญเสียรายได้จากขยายวงเงินลดหย่อนภาษีดอกเบี้ยนี้ แต่ต้องการช่วยเหลือ 6-7 ล้านบัญชีที่มีในปัจจุบันมากกว่า
