บลจ. บีทีกางพอร์ตลงทุนล่าสุด เน้นถือเงินสดรอจังหวะหุ้นปรับฐาน เก็บของถูกทำกำไรระยะยาว ระบุหุ้นกลุ่มพลังงาน ยังมีศักยภาพแข็งแกร่ง ชี้การเมืองไม่กระทบ เน้นดูเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก
นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บีที จำกัด เปิดถึงการบริหารกองทุนหุ้นในช่วงครึ่งปีแรกว่า ผลจากภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยทำให้เกิดความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การบริหารกองทุนหุ้นของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา จึงเน้นถือเงินสดมากที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรมกองทุนรวม และรอดูสถานการณ์ต่อไปว่าเป็นอย่างไร เพื่อจะได้เข้าไปช้อนซื้อหุ้นอีกครั้ง
“จะเห็นได้ว่าในช่วงเดือนเมษายน 2552 ที่ผ่านมา บริษัทได้ทยอยขายหุ้นไปบ้างแล้ว จึงทำให้เรามีเงินสดเยอะ ดังนั้น เมื่อหุ้นปรับตัวลดลงมา เราจะเข้าซื้อเพราะเราเตรียมเงินสดไว้แล้ว ดังนั้น ถ้าในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นมีการปรับตัวลงมาอีกตามที่นักวิเคราะห์ได้วิเคราะห์เอาไว้ เราก็จะเข้าไปทยอยซื้อเก็บเอาไว้” กรรมการผู้จัดการกล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลัง บลจ. บีที มีแผนที่จะออกกองทุนหุ้นเพิ่มอีกหลายกองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเป็นการรองรับกลุ่มนักลงทุนให้มีความหลากหลายและครบวงจรต่อการเข้ามาลงทุนของนักลงทุน โดยบริษัทจะร่วมมือกับธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ซึ่งเป็นแบงก์แม่เป็นหลักในการจัดจำหน่ายกองทุนรวมต่าง ๆ แต่อย่างไรก็ตาม เรายังต้องรอดูสถานการณ์ เหตุบ้านการเมืองเป็นหลัก เพื่อให้เหมาะสมต่อกลุ่มนักลงทุนในช่วงสภาวะนั้น ๆ ด้วย
นายเจิดพันธุ์ นิธยายน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านการลงทุน บลจ.บีที เปิดเผยว่า ปัจจุบันกองทุนหุ้นของบริษัทส่วนใหญ่แล้วจะถือเงินสดไว้ประมาณ 70% เพื่อรอดูจังหวะในการหุ้นปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 550 จุด บริษัทก็จะเข้าไปช้อนซื้อหุ้น ทั้งนี้ ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 เป็นต้นไป บริษัทมองว่าจากการปรับฐานลดลงของดัชนีตลาดหุ้นจะน่าจะอยู่ที่ประมาณ 650 จุด
แต่คงจะไม่ต่ำไปกว่า 500 จุดแน่นอน
ทั้งนี้ ปัญหาทางการเมืองในบ้านเรา ณ ปัจจุบัน ไม่ค่อยกระทบมากนักต่อตลาดหุ้น แต่เราจะดูในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นหลักมากกว่าว่าหุ้นจะมีการปรับขึ้นปรับอย่างไร ซึ่งจะเห็นได้ว่า หุ้นในกลุ่มประเทศเอเชียรวมถึงหุ้นในประเทศไทยเอง ต้องยอมรับว่า หุ้นกลุ่มพลังงานยังเป็นยังคงแข็งแกร่งและอยู่ในตลาดค่อนข้างมาก
ดังนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทเองมีแผนที่จะออกกองทุนหุ้นเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีกองทุนอาเซียนอิควิตี้ที่บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเปิดขายกองทุน เพราะบริษัทมองว่าอย่างประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลลิปปินส์ จะดีกว่าตลาดบ้านเรา
ทั้งนี้ บริษัทมีกองทุนหุ้นอยู่ 4 กองทุนที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการ ซึ่งกองทุนด้วย 1.กองทุนรวม บีที ไลฟ์ 70 หุ้นปันผลระยะยาว 2. กองทุนรวม บีที ไลฟ์ หุ้นระยะยาว 3. กองทุนรวม บีทีไลฟ์ หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ และ 4. กองทุนรวม หุ้น ทาร์เก็ต 15/1
ขณะเดียวกันข้อมูลการลงทุนของกองทุนตราสารทุน ณ เดือน มิถุนายน 2552 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก โดยส่วนใหญ่แล้วประกอบด้วย 1. DTAC 2. ADVANC 3.SCIB 4. IRPC และ 5. PTT ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงสุด 4 อันดับแรก ส่วนใหญ่แล้วได้แก่กลุ่ม Information & Communication Technology , กลุ่ม Banking , กลุ่ม Energy & Utilities และ กลุ่มProperty Development
นายอนุสรณ์ บูรณกานนท์ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) บีที จำกัด เปิดถึงการบริหารกองทุนหุ้นในช่วงครึ่งปีแรกว่า ผลจากภาวะเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยทำให้เกิดความผันผวนอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การบริหารกองทุนหุ้นของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา จึงเน้นถือเงินสดมากที่สุดในกลุ่มอุตสาหกรรมกองทุนรวม และรอดูสถานการณ์ต่อไปว่าเป็นอย่างไร เพื่อจะได้เข้าไปช้อนซื้อหุ้นอีกครั้ง
“จะเห็นได้ว่าในช่วงเดือนเมษายน 2552 ที่ผ่านมา บริษัทได้ทยอยขายหุ้นไปบ้างแล้ว จึงทำให้เรามีเงินสดเยอะ ดังนั้น เมื่อหุ้นปรับตัวลดลงมา เราจะเข้าซื้อเพราะเราเตรียมเงินสดไว้แล้ว ดังนั้น ถ้าในช่วงครึ่งปีหลังตลาดหุ้นมีการปรับตัวลงมาอีกตามที่นักวิเคราะห์ได้วิเคราะห์เอาไว้ เราก็จะเข้าไปทยอยซื้อเก็บเอาไว้” กรรมการผู้จัดการกล่าว
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีหลัง บลจ. บีที มีแผนที่จะออกกองทุนหุ้นเพิ่มอีกหลายกองทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเป็นการรองรับกลุ่มนักลงทุนให้มีความหลากหลายและครบวงจรต่อการเข้ามาลงทุนของนักลงทุน โดยบริษัทจะร่วมมือกับธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ซึ่งเป็นแบงก์แม่เป็นหลักในการจัดจำหน่ายกองทุนรวมต่าง ๆ แต่อย่างไรก็ตาม เรายังต้องรอดูสถานการณ์ เหตุบ้านการเมืองเป็นหลัก เพื่อให้เหมาะสมต่อกลุ่มนักลงทุนในช่วงสภาวะนั้น ๆ ด้วย
นายเจิดพันธุ์ นิธยายน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการด้านการลงทุน บลจ.บีที เปิดเผยว่า ปัจจุบันกองทุนหุ้นของบริษัทส่วนใหญ่แล้วจะถือเงินสดไว้ประมาณ 70% เพื่อรอดูจังหวะในการหุ้นปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 550 จุด บริษัทก็จะเข้าไปช้อนซื้อหุ้น ทั้งนี้ ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 เป็นต้นไป บริษัทมองว่าจากการปรับฐานลดลงของดัชนีตลาดหุ้นจะน่าจะอยู่ที่ประมาณ 650 จุด
แต่คงจะไม่ต่ำไปกว่า 500 จุดแน่นอน
ทั้งนี้ ปัญหาทางการเมืองในบ้านเรา ณ ปัจจุบัน ไม่ค่อยกระทบมากนักต่อตลาดหุ้น แต่เราจะดูในเรื่องของภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นหลักมากกว่าว่าหุ้นจะมีการปรับขึ้นปรับอย่างไร ซึ่งจะเห็นได้ว่า หุ้นในกลุ่มประเทศเอเชียรวมถึงหุ้นในประเทศไทยเอง ต้องยอมรับว่า หุ้นกลุ่มพลังงานยังเป็นยังคงแข็งแกร่งและอยู่ในตลาดค่อนข้างมาก
ดังนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทเองมีแผนที่จะออกกองทุนหุ้นเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีกองทุนอาเซียนอิควิตี้ที่บริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาเปิดขายกองทุน เพราะบริษัทมองว่าอย่างประเทศสิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลลิปปินส์ จะดีกว่าตลาดบ้านเรา
ทั้งนี้ บริษัทมีกองทุนหุ้นอยู่ 4 กองทุนที่อยู่ภายใต้การบริหารจัดการ ซึ่งกองทุนด้วย 1.กองทุนรวม บีที ไลฟ์ 70 หุ้นปันผลระยะยาว 2. กองทุนรวม บีที ไลฟ์ หุ้นระยะยาว 3. กองทุนรวม บีทีไลฟ์ หุ้นทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ และ 4. กองทุนรวม หุ้น ทาร์เก็ต 15/1
ขณะเดียวกันข้อมูลการลงทุนของกองทุนตราสารทุน ณ เดือน มิถุนายน 2552 หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก โดยส่วนใหญ่แล้วประกอบด้วย 1. DTAC 2. ADVANC 3.SCIB 4. IRPC และ 5. PTT ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูงสุด 4 อันดับแรก ส่วนใหญ่แล้วได้แก่กลุ่ม Information & Communication Technology , กลุ่ม Banking , กลุ่ม Energy & Utilities และ กลุ่มProperty Development